ดูดวงชะตาตนเอง ฉบับนับเศษ ของรัชกาลที่ 4

ดูดวงชะตาตนเอง ฉบับ “นับเศษ” ของรัชกาลที่ 4 ฮิตมากจนสตรีชาววังนับเป็นกันทุกคน!

เรื่อง “ดูดวง” กับคนไทย ถือเป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณ ผสมผสานเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น ดวงวันคลอดลูก ดวงวันแต่งงาน ฤกษ์งามยามดีต่าง ๆ วันตกฟาก หรือแม้แต่ปัจจุบันที่เอาเรื่องดวงมาผสมโรงกับเรื่องสี จนกลายเป็น “สีเสื้อเสริมดวง” ที่ฮิตติดลมในช่วงไม่กี่ปีนี้

ในสมัยรัชกาลที่ 6 สตรีชาววังที่อาศัยอยู่ในวังสวนสุนันทาก็มีความเชื่อเรื่องดวงมากเช่นกัน ซึ่ง หม่อมหลวง เนื่อง นิลรัตน์ ข้าราชสำนักในตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ อธิบายว่า “…นับเศษของเก่าแก่แต่โบราณ คนในวังสวนสุนันทา ผมหงอกผมดำนับเล่นกันเป็นทุกคน…” หากคนไหนนับเลขแล้วตกเศษดี ก็จะเป็นที่โปรดของเจ้านาย ได้รับประทานสิ่งของ หากนับเลขแล้วตกเศษไม่ดีก็จะไม่เป็นที่โปรดเลยทีเดียว

การนับเศษนี้ เป็นตำราของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ขึ้นชื่อว่าทำนายได้แม่นยำมาก ว่ากันว่าหากผู้ใดประสงค์นำบุตรชายมาถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ก็จะต้องนับเลขวัน เดือน ปีก่อน ผู้ที่ตกเศษ 8 จะรับพิจารณาเข้ามาเลี้ยงดูทันที แต่หากตกเศษ 7 ให้เอาตัวกลับไปทันที 

หม่อมหลวงเนื่องกล่าวว่า ได้พบเจอคนตกเศษ 7 มาหลายคนแล้ว และไม่ผิดคาดอย่างตำราว่าไว้ อย่างไรก็ตาม การนับเศษนี้มิใช่เพื่อหวังประโยชน์โชคลาภเงินทอง เพียงแต่ดูดวงชะตาพื้นฐานของคนนั้นว่าชีวิตดีหรือไม่ รวยหรือจนไปชั่วชีวิต หรือดูให้รู้ว่าต้องให้ระวังตนอย่าประมาท 

วิธีการนับเลขมีดังนี้

นำเลขปี เลขเดือน เลขวัน ตามตารางด้านล่าง มาบวกกัน แล้วลบออกทีละ 10 เหลือเท่าใดก็เป็นเศษเท่านั้น เช่น ปีกุน ได้เลข 12 เดือน พฤศจิกายน ได้เลข 12 วันเสาร์ได้เลข 7

12+12+7 = 31 เมื่อลบออกทีละ 10 ตามท่านว่า จึงเหลือ 21 11 และ 1 ตามลำดับ ดังนั้น ตกเศษ 1

 เลขที่นำมาคำนวณ   ปี  เดือน วัน
1  ชวด  ธันวาคม อาทิตย์
2  ฉลู  มกราคม จันทร์
3  ขาล  กุมภาพันธ์ อังคาร
4  เถาะ  มีนาคม พุธ
5  มะโรง  เมษายน พฤหัสบดี
6  มะเส็ง  พฤษภาคม ศุกร์
7  มะเมีย  มิถุนายน เสาร์
8  มะแม  กรกฎาคม  
9  วอก  สิงหาคม  
10  ระกา  กันยายน  
11  จอ  ตุลาคม  
12  กุน  พฤศจิกายน  

 

   สำหรับคนที่รวมแล้วได้ 10 20 หรือ 30 เช่น คนเกิดปี ชวด (ได้เลข 1) เดือนมกราคม (ได้เลข 2) วันเสาร์ (ได้เลข 7) จึงได้ 1+2+7=10 เมื่อลบออกทีละ 10 ได้ผลลัพธ์คือ 0 จึงตกเศษ 0 แต่ตำราท่านไม่ได้ทำนายคนตกเศษ 0 เพราะทำนายตั้งแต่ 1-10 เมื่อตำราไม่ได้ทำนาย เศษ 0 ไว้ และหม่อมหลวงเนื่องก็ไม่ได้อธิบายเช่นกัน จึงเข้าใจได้ว่า เมื่อคำนวนถึงเลข 10 แล้ว อาจจะยึดเอาเลขนั้นเป็นเลขตกเศษเลยเสียกระมัง และตามตำราท่านทำนายเลขตกเศษของแต่ละคน ดังนี้ 

เศษ 1 เสาเรือนไฟไหม้         ชะตาร้ายทั้งชายหญิง
         ไร้เรือนที่พึ่งพิง          ที่พึ่งพักสำนักเนา  
         จะร่อนเร่ระเหระหน      เร่งเจียมตนอย่าดูเบา
         เพราะว่าชะตาเรา        โทษประกอบจึงเกิดกรรม 

เศษ 2 จะครองไข้     มีโรคภัยสิงประจำ
         หยูกยาจะหาทำ     บ่ถูกแท้จนแก่ตาย 

เศษ 3 ความสบาย      มีข้าควายและเกวียนวัว
         พอสมสกุลตัว      เท่าที่ทายสถานกลาง 

เศษ 4 มีข้าครอก      อเนกนอกคนานาง
         อุปถัมภ์ล้วนสำอาง     บ่ไข้ชุกบ่ทุกข์เป็น

เศษ 5 ชะตากลับ     ทุนทรัพย์จะแสนเข็ญ
         ภายหลังชะตาเป็น     ทุนทรัพย์นับอนันต์

เศษ 6 จะยกญาติ     เป็นเชื้อชาติประเสริฐสรรค์
         เงินตรายศถาพลัน     ทุนทรัพย์ลำดับมี

เศษ 7 นั้นผ้าขาด     จะนุ่งห่มก็เต็มที
         ภัตราย่อมราคี     ระคายคับทั้งทรัพย์สิน

เศษ 8 จะเปรื่องยศ     จะปรากฏในแผ่นดิน
         ทรัพย์ศฤงคารสถานถิ่น     ทั้งอำนาจและวาสนา

เศษ 9 กินข้าวกลางตลาด     เสมอชาติสุนัขา
         ถึงจะมีวาสนา     ต้องประกอบทำงานการ
         เปรียบตระกูลวณิพก     ถึงต่ำตกก็บ่นาน
         ดั่งนักเลงสุราบาน     พอขวนขวายใส่ท้องตน

เศษ 10 ดังนกแขกเต้า     ทำรวงรังไว้บังฝน
          แสวงดีย่อมมีผล     อย่าคลุกเคล้ากับเหล่าพาล
          เหมือนปักษีอันมีปีก     รู้หลบหลีกธนูพราน
          ถ้าประมาทจะเสียการ     ถึงชอกช้ำระกำกาย

หม่อมหลวงเนื่องอธิบายว่าการ “ดูดวง” เช่นนี้ เป็นเพียงการทำนายพื้นฐานดวง มิใช่การทำนายทุกข์ หาเคราะห์ร้าย เคราะห์ดี หรือหาโชคหาชัย แต่ท่านเองก็ยอมรับว่าการนับเศษเลขนี้แม่นนัก คนรอบข้างท่านก็มีชีวิตไปตามพื้นดวงนั้น ๆ ไม่ผิดตามคำทำนายเลย

เมื่อดูดวงชะตาตนเองเสร็จแล้วก็อย่าได้วิตกหรือลำพองไปนัก ดวงก็เป็นเพียงศาสตร์ทำนายชีวิตแขนงหนึ่ง สิ่งที่จะกำหนดชีวิตของเราอย่างแท้จริงและเห็นเป็นรูปธรรมมิใช่ดวงชะตาหรือเวรกรรมนำพาแต่ชาติปางก่อน แต่คือตัวของเรานั่นเอง

 






อ้างอิง : เนื่อง นิลรัตน์, หม่อมหลวง. (2550). ชีวิตในวัง 1. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 กรกฎาคม 2562.


ขอบคุณที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_34978 

 

Visitors: 185,839