ดวงเมือง และเคล็ดแห่งดวงปราบดาภิเษก ใน ร.1

ดวงชะตา และฤกษ์ ทั้งที่เป็นของบุคคล และมิใช่บุคคล (สิ่งของ, องค์กร, ประเทศ ฯลฯ) เป็นความเชื่อที่อยู่ในสังคมไทยมานาน มีการศึกษา ค้นคว้า และถ่ายทอดกันอย่างเป็นระบบ เรียกว่า “โหราศาสตร์” เป็นความรู้แขนงหนึ่งที่รัชกาลที่ 1 ทรงให้ความสำคัญ ดังจะเห็นจะได้จากการกำหนดผูก “ดวงเมือง” เมื่อครั้งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์

ในส่วนของเนื้อหาที่นำเสนอนี้ คัดมาบางส่วนจากบทความของ ไกรฤกษ์ นานา ที่ชื่อว่า “‘ดวงเมือง’ ชะตากรุงรัตนโกสินทร์ผูกขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 1” เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 นำมาเสนอดังนี้

ผูก “ดวงเมือง” เมื่อแรกสร้างกรุง
ดวงชะตาของประเทศไทยถูกคำนวณและกำหนดจากตำแหน่งของดวงดาวตามทัศนะโหรานภาศาสตร์ ระบบนิรายนะ ดวงชะตานี้ได้คำนวณตามเวลาขณะที่ทำพิธีฝังเสาหลักเมือง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วประมาณ 52 นาที (แต่ในพงศาวดารระบุว่า 54 นาที – ไกรฤกษ์ นานา)

“พระฤกษ์” เบื้องต้นของดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์มีระบุอยู่ในบทสร้างกรุงฯ ของพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ชำระโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) มีใจความว่า

สร้างกรุงรัตนโกสินทร์
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เริ่มต้นแต่ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ปี (พ.ศ. 2325) เมื่อพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นปฐมในพระบรมราชวงศ์ปัตยุบันนี้ได้ทรงรับอัญเชิญของเสนามาตย์ราษฏรทั้งหลาย เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครอบครองสยามประเทศ และทรงปราบปรามความจลาจลในกรุงธนบุรีเรียบร้อยแล้ว จึ่งทรงพระราชดำริว่าเมืองธนบุรีนี้ ฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก โดยเป็นที่แหลมมีลำแม่น้ำเป็นขอบเขตต์อยู่กว่าครึ่ง

ถ้าตั้งพระนครข้างฝั่งตะวันออก แม้นข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนครก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออกนั้นเสียแต่เป็นที่ลุ่ม เจ้ากรุงธนบุรีจึ่งได้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นที่ดอน แต่ก็เป็นที่ท้องคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราชนิเวศน์มนเทียรสถานเล่า ก็ตั้งอยู่ในอุปจาร ระหว่างวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้ง 2 ข้าง ควรเป็นที่รังเกียจ ทรงพระราชดำริดังนี้ จึ่งดำรัสสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อ ณ วันอาทิตย์เดือนหกขึ้นสิบค่ำ ฤกษ์เวลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที

พระราชวังใหม่ให้ตั้งในที่ซึ่งพระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน โปรดให้พระยาราชาเศรษฐี และพวกจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง จึ่งได้ฐาปนาสร้างพระราชนิเวศน์มนเทียรสถาน ล้อมด้วยปราการระเนียดไม้ไว้ก่อน พอเป็นที่ประทับอยู่ควรแก่เวลา [1]

อันว่าดวงชะตานี้ได้คำนวณตามเวลาขณะที่ทำพิธีฝังหลักเมือง ในวันที่ 21 เมษายน 2325 ตรงกับปีขาล วันกลียุคศักราช 1,783,568 วัน ดวงอาทิตย์อุทัย 0620

ดวงอาทิตย์ ในวันนี้ได้โผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าเวลา 0620 แต่เวลาเริ่มฝังหลักเมืองเป็นเวลา 0654 แสดงว่าดวงอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นจากขอบฟ้ามาแล้วประมาณ 52 นาที คิดเป็นมุมสูงจากขอบฟ้าประมาณ 13 องศา

ดวงอาทิตย์ ในวันนี้ได้โผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าเวลา 0620 แต่เวลาเริ่มฝังหลักเมืองเป็นเวลา 0654 แสดงว่าดวงอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นจากขอบฟ้ามาแล้วประมาณ 52 นาที คิดเป็นมุมสูงจากขอบฟ้าประมาณ 13 องศา

ดวงจันทร์ อยู่ภาคทางทิศตะวันออก อประจักราหรือภาคมืดในตำแหน่งใกล้เคียงกับปาตละพินทุทำมุมกับดวงอาทิตย์ประมาณ 92 องศา 48 ลิปดา

ดาวอังคาร กำลังจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าในตำแหน่งอสุระสนธยา ทำมุมกับดวงอาทิตย์ประมาณ 39 องศา 22 ลิปดา ทางทิศตะวันออก

ดาวพุธและดาวศุกร์ ได้โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าไปแล้วอยู่ในตำแหน่งเทวะสนธยาและกำลังอยู่ในภาคปูรวะจักรา โดยดาวพุธทำมุมกับดวงอาทิตย์ 25 องศา 49 ลิปดา ทางทิศตะวันตก ส่วนดาวศุกร์ทำมุมกับดวงอาทิตย์ 38 องศา 37 ลิปดา ทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกัน

ดาวพฤหัสและดาวเสาร์ ได้พ้นตำแหน่งศิโรพินทุไปแล้ว และอยู่ในภาคปูรวะจักรา โดยดาวพฤหัสทำมุมกับดวงอาทิตย์ 123 องศา 9 ลิปดา ทางทิศตะวันตก ส่วนดาวเสาร์ทำมุมกับดวงอาทิตย์ 123 องศา 22 ลิปดา ทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกัน [3]

การพิจารณาดวงชะตาเดิมโดยสังเขปของประเทศไทย อาจจะพิจารณาจากดวงดาวแต่ละดวงได้ดังนี้

ดวงอาทิตย์ หมายถึง พระมหากษัตริย์ ผู้นำประเทศ อธิปตัย นายกรัฐมนตรี ฯลฯ ดวงอาทิตย์เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 5 สถิตย์อยู่ในตำแหน่งปรมะอุจจ ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของดาวอังคาร และร่วมกับลัคนาในราศีเมษ ได้รับแสงจากดาวพฤหัส และอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ เรียกว่า ลัคนาการกะ มีความหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์ มีผู้นำประเทศและอธิปตัยอย่างแน่นอนและมั่นคง เป็นที่ยอมรับนับถือของประเทศทั่วๆ ไป และโดยที่ดวงอาทิตย์เป็นเจ้าเรือนภพที่ 5 ด้วย แสดงว่าการสืบพระราชสันตติวงศ์ก็ดี การที่จะมีผู้นำประเทศก็ดี ย่อมจะต้องมีติดต่อเรื่อยไปโดยไม่มีการขาดตอน และจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ทรงคุณวุฒิ สมณชีพราหมณ์จารย์ ตลอดจนประชาชน และโดยที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ ซึ่งหมายความว่า เป็นประเทศที่รักศักดิ์ศรีถือเกียรติ เป็นต้น

ดวงจันทร์ หมายถึง หลักทรัพย์ อัตราการเกิด ฯลฯ ดวงจันทร์เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 2 นับจากลัคนา และสถิตย์อยู่ในตำแหน่งเกษตรภพที่ 4 เป็นดาวโทน ไม่ได้รับแสงดาวดวงใดทั้งสิ้น แต่ตนเองมีแสงมากพอสมควร และอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ เรียกว่า มาตฤการกะ มีความหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีหลักฐานของตนเองอย่างมั่นคง มีพระราชอาณาเขตเป็นที่แน่นอน ไม่มีทางที่จะเป็นเมืองขึ้น หรือถูกยื้อแย่งดินแดนไปเป็นของประเทศอื่น

ดาวอังคาร หมายถึง บุรุษในเครื่องแบบ แสนยานุภาพ อาวุธยุทธภัณฑ์ ฯลฯ ดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนลัคนา เจ้าเรือนเกษตรภพที่ 8 เจ้าเรือนอุจจภพที่ 10 เป็นดาวโทน สถิตย์อยู่ในภพที่ 2 ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของดาวศุกร์ และไม่ได้รับแสงจากดาวดวงใดเลย แต่ดาวอังคารยังให้แสงถึงเรือนของตนเองอีกด้วย คือ ในภพที่ 8 นับจากลัคนา มีความหมายว่า ในยามสงครามก็ดี ในยามที่บ้านเมืองได้รับภยันตรายใดๆ ก็ดี กำลังทหารที่มีอยู่นั้นสามารถป้องกันเอกราชและอธิปตัยของประเทศชาติได้เสมอ

ดาวพุธ หมายถึง การค้าขาย  พ่อค้าวาณิชย์ ฯลฯ ดาวพุธเป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 3 และภพที่ 6 นับจากลัคนา แต่สถิตย์อยู่ในตำแหน่งนิจจในเรือนเกษตรของดาวพฤหัสซึ่งเป็นภพที่ 12 นับจากลัคนา เป็นดาวที่ได้รับแสงจากดาวศุกร์ ซึ่งเป็นอุจจ และราหู ในสถานะที่สถิตย์อยู่เรือนเดียวกัน นอกจากนี้ดาวพุธยังเป็นโยคะมารกะของลัคนาราศีเมษ ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์วงในมีระยะเชิงมุมถึง 25 องศา 49 ลิปดาซึ่งเกือบเพ็ญ และถูกตำแหน่งคือเป็นเทวะสนธยา มีความหมายว่า บรรดาพ่อค้าทั้งหลายจะไม่มีอำนาจควบคุมการบริหารงานหรือมีอำนาจเหนือรัฐบาล และโดยที่ดาวพุธเป็นนิจจอยู่ภพที่ 12 ด้วย ซึ่งเป็นเหตุที่บรรดาพ่อค้าทั้งหลายไม่กล้าที่จะดำเนินการผิดศีลธรรมอันจะเป็นเหตุที่จะก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ

ดาวพฤหัส หมายถึง อำมาตย์ผู้ใหญ่ พราหมณ์ปุโรหิต ผู้ทรงคุณวิชา ฯลฯ ดาวพฤหัสสถิตย์อยู่ในภพที่ 9 ได้ตำแหน่งเกษตร และเป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 12 เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 4 ได้รับแสงจากดาวเสาร์ในสถานะที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ได้รับแสงจากดาวอังคาร และยังให้แสงถึงลัคนาและดวงอาทิตย์อีกด้วย นอกจากนี้ยังอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ ซึ่งเรียกว่า ศุภการกะ และกำลังวักระหรือพักร มีความหมายว่า  บ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนจะอยู่ดีกินดี มีศีลธรรม มีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมกับสถานะของตนเอง ผู้ที่คิดก่อความไม่สงบต่อประเทศชาติหรือผู้ที่ไม่มีศีลธรรมจะต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายธรรมะเสมอ

ดาวศุกร์ หมายถึง การเงิน งบประมาณ เงินกู้ ฯลฯ ดาวศุกร์สถิตย์อยู่ในภพที่ 12 ได้ตำแหน่งอุจจในเรือนเกษตรของดาวพฤหัส เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 2 และภพที่ 7 นับจากลัคนา ดาวศุกร์ได้รับแสงจากดาวพุธ ซึ่งเป็นนิจจ และราหู ในสถานะที่สถิตย์ร่วมเรือนเดียวกัน ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์วงใน มีระยะเชิงมุม 38 องศา 37 ลิปดา ซึ่งนับว่าอยู่ในอาณัติเพ็ญ แต่ผิดตำแหน่ง คือเป็นเทวะสนธยา มีความหมายว่า สถานภาพทางการเงินค่อนข้างจะมั่นคงมาก เป็นเงินตราสกุลแข็งสกุลหนึ่ง นอกจากจะมีเงินคงคลังเก็บสำรองไว้แล้วยังได้รับการช่วยเหลือทางด้านเงินตราจากต่างประเทศเสมอๆ

ดาวเสาร์ หมายถึง ชนชั้นกรรมาชีพ ผู้ก่อการร้าย การโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ ดาวเสาร์สถิตย์อยู่ในภพที่ 9 ในเรือนเกษตรของดาวพฤหัสร่วมกับดาวพฤหัส และได้รับแสงจากดวงอังคาร ดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 10 ภพที่ 11 เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 7 นับจากลัคนา และยังให้แสงถึงภพที่ 11 ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของตนเองอีกด้วย กำลังอยู่ในตำแหน่งวักระ มีความหมายว่า การโฆษณาชวนเชื่อก็ดี การก่อการร้ายหรืออื่นๆ ซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติแล้ว จะไม่มีหนทางที่จะเอาชนะต่อฝ่ายรัฐบาลได้เลย และยังไม่สามารถจะเอาชนะจิตใจของประชาชนได้อีกด้วย การที่ดาวอังคารให้แสงถึง หมายความว่า แม้จะมีการก่อการร้ายใดๆ ก็ตามกำลังทหารของฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบปรามได้สิ้น

ราหู หมายถึง ฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ลัทธินอกแบบ ฯลฯ ราหูสถิตย์อยู่ในภพที่ 12 ร่วมกับดาวพุธ และดาวศุกร์ มีความหมายว่า ลัทธินอกแบบก็ดี คอมมิวนิสต์ก็ดี ซึ่งเข้ามาแพร่ขยายในประเทศไทยจะต้องวินาศในที่สุด นอกจากนั้นประเทศไทยไม่มีการแสวงหาเมืองขึ้น ไม่มีความปรารถนาในดินแดนของผู้อื่นสำหรับประเทศชาติใกล้เคียงกันแล้ว ประเทศไทยสามารถเสียสละบางสิ่งบางประการให้ได้เสมอ [3]

   ดวงพระฤกษ์ปราบดาภิเษก รัชกาลที่ 1
ต่อมายังพบอีกว่าได้มีการผูกดวงพระราชวงศ์จักรี (ดวงปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ด้วยในวันที่ 10 มิถุนายน 2325 มีรายละเอียดดังนี้

   พระราชพิธีปราบดาภิเษก (พ.ศ. 2325)
ครั้น ณ วันจันทร์ เดือนแปดบุรพาษาฒขึ้นค่ำหนึ่ง ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ปี (พ.ศ. 2325) ให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขป นิมนต์พระราชาคณะสวดพระปริตรพุทธมนต์ครบ 3 วันแล้ว รุ่งขึ้น ณ วันพฤหัสบดี เดือนแปดบุรพาษาฒขึ้นสี่ค่ำเวลารุ่งแล้ว 4 บาท ได้มหามงคลฤกษ์ พระบาทสมเด็จบรมนารถบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จทรงเรือพระที่นั่งบัลลังก์ศรีสักหลาด ประดับด้วยเรือจำนำท้ายพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง แห่โดยขะบวนพยุหยาตราหน้าหลังพรั่งพร้อม เสด็จข้ามปาริมคงคามาณฝั่งตะวันออก เสด็จขึ้นฉนวนหน้าพระราชวังใหม่ ทรงพระราชยานตำรวจแห่หน้าหลังเสด็จขึ้นยังพระราชมนเทียรสถาน ทำการพระราชพิธีปราบดาภิเษก ขณะนั้นพระชนมายุได้ 46 พรรษา ได้เสวยไอศวรรยาธิปัติถวัลยราชย์ดำรงแผ่นดินสยาม

ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ประชุมพร้อมกัน ได้คิดขนานพระนามถวายจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมพบิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดี ศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมพระราชนิเศน์มหาสถาน ตามโบราณจารีตสืบมา [1]

โดยในวันนั้นได้มีการผูกพระฤกษ์ เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งนับถือกันว่าเป็นดวงเริ่มพระราชวงศ์จักรีโดยแท้จริง

   เคล็ดแห่งดวงปราบดาภิเษก ในรัชกาลที่ 1

1. ราชวงศ์นี้เจ้านายจะต้องเป็นทหารจึงต้องโฉลก ด้วยกษัตริย์ต้นราชวงศ์คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเป็นทหาร ได้อำนาจมาก็ด้วยจากกำลังทหารหนุนหลังอยู่

ขณะเวลาเข้าครองอำนาจนั้น ดาวอังคารลอยอยู่เหนือฟ้าพอดี เรียกว่าดาวทหารเข้ามามีอิทธิพลในราชวงศ์

2. ดวงชะตาได้จตุสดัยเกณฑ์ มี 2, 4, 3 อยู่ในภพเกณฑ์ มีดาว 3 เป็นปัศวะเกณฑ์

3. ดาว 5 คือ สมณะ ไปกุมเสาร์อริอยู่ในภพปุตตะ บ่งถึงอาณาประชาราษฎร์ได้รับความสุขดี แต่มักไม่สามัคคีกัน คณะสงฆ์แตกแยกออกจากกัน

4. ดาว 1 คือกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นดาวตนุลัคน์และอยู่ในภพมรณะ กุม 8 กับ 6 มหาอุจ บ่งถึงกษัตริย์จะเป็นอันตราย กษัตริย์มักมีพระโรคเบียดเบียนถึงแก่สวรรคตในวัยอันไม่สมควร ด้วยไปอยู่ภพมรณะ มักเป็นเหตุจากสิ่งต่างๆ ดาว 1, 6, 8 อยู่ภพมรณะ บ่งว่า รัชกาลที่ตรงกับเลขนี้มักมีอันตราย กล่าวคือ

รัชกาลที่ 1  มีศึกใหญ่ของพม่ามาประชิด ต้องไปรบราฆ่าฟันเสียชีวิตกันมาก มีเรื่องยุ่งยากภายในระหว่างวังหลวงกับวังหน้า  มีศึกร้อนรุ่มตลอดรัชกาล

รัชกาลที่ 6 มีขบถนายสิบ พระองค์ทรงมีพระโรคภายในพระนาภีประจำ และต้องมีพระชนมายุสั้นจากโรคภัยนั้น

รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต ด้วยถูกลอบปลงพระชนม์

ดาว 5 คือรัชกาลที่ 5 เป็นเกษตร ทำให้รัชกาลนี้มีความรุ่งเรืองมั่นคงเจริญหลายทาง มีดาว 0 เจ้าแห่งการปฏิรูปเล็ง บ่งว่าจะมีการปฏิรูปหลายๆ ทางเกิดขึ้นพร้อมกับความเจริญอย่างใหญ่หลวง ด้วยดาว 5 เป็นเกษตรในภพที่ 5 ให้คุณมาก แต่มีดาว 7 อริ ซึ่งเป็นดาวร้ายมากุมอยู่ทำให้พระองค์ต้องผจญกับศัตรูนอกพระราชอาณาเขต เข้ามาย่ำยีแดนไทยและฮุบเอาแผ่นดินลาวเขมรไปจากอ้อมอกของไทย

ดาว 4 คือรัชกาลที่ 4 ตรีโกณถึงดาวมฤตยูองค์เดียว มีดาว 5 เกษตร โยคหลัง รัชกาลนี้ดีเด่นในด้านแสวงหาความรู้ความเจริญของโลกมาปฏิรูปในประเทศ ดาวมฤตยูที่สัมพันธ์ถึง 4 อยู่บ่งว่า รัชกาลของพระองค์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมเข้าสู่ยุคใหม่ทัดเทียมกับอาณาอารยประเทศทั้งหลายทั่วโลก

รัชกาลที่ 3 เป็นดาวอังคารประ ประคือความเสื่อมแต่ลอยเด่นไม่ถูกเบียน พระองค์ขึ้นครองราชย์โดยไม่เป็นไปตามการสืบสายราชวงศ์โดยแท้ เพราะพระองค์มิใช่เจ้าฟ้า ดังนี้พระองค์จึงไม่ยอมสวมมงกุฎ สมกับดาว 3 ประจำรัชกาล เป็นประ พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระศาสนา ก่อสร้างวัดวาอารามไว้มาก ด้วยมีดาว 9 (คือศาสนา) ไปกุม 3 อยู่ และดาวพลูโต (ก็คือพระปรมัตถธรรม) เล็งดาว 3 เช่นกัน

รัชกาลที่ 2 ดาว 2 เป็นนิจกุมพลูโต มีดาว 5 เกษตรนำหน้า รัชกาลนี้รุ่งเรืองทางกวีนิพนธ์ พระองค์ทรงยังความเจริญแก่ประเทศมาก ด้วยดาว 2 นิจ ไปอยู่เรือน 3 ประ กลับจูงให้เด่น (ตามทฤษฎีที่ว่า เสียพบเสียกลายเป็นดี) ดาว 2 นิจส่งผลให้พระองค์พอใจอยู่แต่ในรั้วในวัง (ดาว 2 เป็นเจ้าเรือนวินาศนะ ซึ่งวินาศนะ แปลว่า เก็บตัว ไม่เปิดเผย)

รัชกาลที่ 7 ได้ขึ้นครองราชย์ในขณะภาวะการเงินของชาติประสบมรสุมอย่างหนัก ดาว 7 เป็นดาวอริมากุมดาว 5 ควรจะได้ผลดีเยี่ยม แต่ก็ถูกตรึงกากะบาทจากบาปเคราะห์ 18 ที่มีน 0 ที่เมถุน, เนปจูนที่กันย์ ดาว 7 เป็นบาปเคราะห์อยู่แล้ว เมื่อถูกบาปเคราะห์ตรึงกากะบาทจึงเกิดโทษมาก ส่งผลให้พระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ ภายหลังจากสูญเสียอำนาจแก่กลุ่มปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ไป

ดาว 7 เป็นดาวอริอยู่แล้วจึงเปราะไม่อาจต้านทานแรง จตุโกณแบบกากะบาทของบาปเคราะห์ได้ สู้ดาว 5 คือรัชกาลที่ 5 ไม่ได้ ด้วยดาว 5 เป็นเกษตร ที่มีศักดิ์ศรีสูงย่อมอาจต้านทานดาวใดๆ ได้ ถึงกระนั้นก็ยังโดนศัตรูนอกประเทศมารุกราน เอาดินแดนไปเกือบครึ่งประเทศ

รัชกาลที่ 9 เลข 9 กุมดาว 3 อยู่ บ่งว่าจะรับอันตรายจากอุบัติเหตุ เพราะดาว 3 เป็นดาวเกี่ยวกับอุบัติเหตุโดยตรง ผลก็คือพระองค์ต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่พระเนตรข้างขวา

จึงเห็นว่า ดวงราชวงศ์จักรีนี้สำคัญมาก ดาวประจำรัชกาลสถิตย์อยู่ในดวงราชวงศ์จักรีก็สามารถนำมาทำนายได้อย่างแม่นยำ [2]

ผู้มีญาณเสริมว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการกำหนดพระฤกษ์ตั้งเสาหลักเมือง ช่วยเสริมดวงเมืองให้ราชอาณาจักรของพระองค์อยู่รอดปลอดภัยมาได้อย่างน่าอัศจรรย์



อ่านเพิ่มเติม :

21 เมษายน พุทธศักราช 2325 : รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ทำพิธีวางเสาหลักเมือง
การสร้าง “หลักชัย แกนเมือง” ตามตำราพิชัยสงคราม ในรัชกาลที่ 1
โหราศาสตร์ กับการเมืองไทย สู่ “สงครามจิตวิทยา” ในคราวปฏิวัติ 2475 !?
โหราศาสตร์ กับข้อห้าม แต่งงานวันพุธ-เผาผีวันศุกร์-ขึ้นบ้านใหม่วันเสาร์

เอกสารประกอบการค้นคว้า :

[1] พระราชพงษาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ 1, พิมพ์พระราชทานแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตนจาตุรนต์ ที่พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส 2478.

[2] พลูหลวง. โหราศาสตร์ พิชัยสงคราม-ดวงเมือง. สำนักพิมพ์เกษมบรรณกิจ, 2518.

[3] สมภพ ภิรมย์, ศาสตราจารย์ นาวาเอก. กุฎาคาร. โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, 2513



ขอบคุณที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_68786

กรุณากรอกข้อความ...
Visitors: 185,856