ทักษาพยากรณ์
ทักษาพยากรณ์ โดย อาจารย์ เทอม เสตะสิกร
ทักษาพยากรณ์ โดย อาจารย์ เทอม เสตะสิกร
ต้นกำเนิดมาจากสิ่งใด?
ข้าพเจ้าได้พยายามค้นหาแหล่งที่มาในเรื่องทักษานี้มาไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี ต้นกำเนิดมาจากที่ไหน? และได้มาอย่างไร? พยายามเท่าใดๆ ก็ยังจับไม่ถูกอยู่นั่นเอง คิดๆ ไปก็เหมือนกับคนตาบอดคลำช้าง จะว่ามาจากจีนหรืออินเดียก็บอกไม่ถูก เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จริงในทางแบบของจีนและอินเดีย ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ เขาก็มีรูปแบบทักษาด้วยกัน และก็แตกต่างกับทักษาของไทยเราด้วย ดังจะเห็นว่า
ทางที่มาของจีน
ข้าพเจ้าเคยเห็นที่เขาเขียนแบบทักษาของเขามีลักษณะคล้ายของไทยเรามากทีเดียว มีรูปกากะบาดเหมือนของไทยเราจริงๆ แต่ในช่องกากะบาดนั้นแบ่งออกเป็น ๘ ช่อง แต่ละช่องแทนที่จะมีเลข ๑ ถึง ๘ วางอยู่ แต่กลับเป็นรูปดาวฤกษ์เข้าไปครองอยู่ทั้ง ๘ ช่อง ช่องที่ ๑ หัวมุมซ้ายมือที่พวกเราวางดวงอาทิตย์อยู่นั้นจะมีกลุ่มดาวฤกษ์อยู่ ๓ ฤกษ์ และช่องที่ ๒ พวกเราวางดวงจันทร์เข้าไว้ เขากลับมีดาวฤกษ์อยู่ ๔ กลุ่ม สลับ ๓ และ ๔ จนครบ ๘ ช่อง รวมแล้วจะมีดาวฤกษ์ ๒๘ กลุ่ม บริวาร อายุ เดช ศรี จนถึงกาลกรรณีไม่มี จึงไม่เหมือนแบบโหราศาสตร์ที่เราใช้อยู่
ทางที่มาของอินเดีย
ทางด้านของชาวอินเดียเขาทำเป็นรูปเหมือนยันต์ตรีนิสิงเห เป็นรูป ๔ เหลี่ยม ๙ ช่อง ได้เขียนเลขและตัวหนังสือ ซึ่งพวกเราจะไม่ค่อยเข้าใจในตัวหนังสือนั้นๆ ที่น่าแปลกก็คือ ของเขามีกำลังดาวพระเคราะห์ไว้ด้วย แต่ก็ไม่เหมือนของเรา เช่น ดาวพระศุกร์ มีกำลัง ๒๐ ของเรา ๒๑ และพระเคราะห์อื่นๆ ก็ไม่เหมือนของฝ่ายเรา ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่กล่าวไว้ในที่นี้
ทักษาตามแบบของไทยเราตามรูปนี้
ซึ่งไม่เหมือนของใครๆ และของเราใช้ได้ผลเหมือนกับดวงแก้ว ผู้รู้วิธีใช้แล้วได้ผลสมความปรารถนาทุกประการ โบราณาจารย์เก่าของเราได้แสดงการพยากรณ์จนเลื่องลืมมาหลายสมัยหลายยุคแล้วว่า ทายแม่นเหมือนตาเห็น ถ้ายิ่งทำดวงละเอียดแล้วยิ่งแม่นใหญ่
ตามสูตรทักษา
คนเกิดวันไหน? เราถือเอาวันนั้นเป็นบริวาร แล้วต่อไปเป็น อายุ เดช ศรี มูละ อุสาหะ มนตรี จนถึงกาลกรรณีตัวสุดท้ายของทักษาวันเกิด เมื่อมาผสมกับดวงชะตาแล้ว ดวงต่างๆ เมื่อยกออกเป็นดวงชะตาแล้ว จะไปสถิตอยู่ในราศีต่างๆ กัน บริวาร อายุ เดช ศรี ฯลฯ ตัวอะไรไปอยู่ที่ไหนก็แสดงอำนาจในเรือนนั้นๆ เช่น กาลกรรณีไปครองเรือนพันธุ ญาติพึ่งพาอาศัยไม่ได้หรือ กาลกรรณี ไปครองเรือนปุตตะ บุตรของท่านจะทำความรำคาญหรือความยุ่งยากมาสู่ท่าน หรือจะกลายเป็นบุตรที่พาลเกเรก็ได้ ถ้าศรีไปครองเรือนปุตตะ ท่านจะได้อภิชาตบุตรคือบุตรที่ส่งเสริมวงศ์ตระกูลให้สูงขึ้น แล้วจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดอายุขัยปีละ ๑ ช่วงเดือนละ ๑ ช่วง วันละหนึ่งช่วงเคลื่อนไปตามองศาของดวงอาทิตย์
ความหมายดาวเคราะห์ต่างๆ
ดาวเคราะห์ทั้ง ๑ ถึง ๑๐ มีความหมายเฉพาะตัว คือ
ซึ่งในแบบของไทยเรา ตามความเข้าใจหรือความคิดเห็นของข้าพเจ้าแล้ว การวางทักษาตลอดการวางเลขในช่องทั้งแปดช่องนั้น ท่านผู้คิดคงทำให้ถูกตามภูมิประเทศของแต่ละถิ่นจะเหมือนกันไม่ได้เพียงแต่คล้ายกันได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ทักษานี้มีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ท่านพ่อขุนรามคำแหง(วงศ์พระร่วงเจ้า) เป็นใหญ่อยู่ในสมัยนั้น ตามที่เล่าสู่กันฟังมามีว่า พระอรหันต์เข้ามาจากอินเดีย ผ่านพม่า มอญ และเลยเข้ามาถึงถิ่นสุโขทัย ซึ่งเป็นราชธานีของวงศ์พระร่วงเจ้าครองราชย์อยู่ พระอรหันต์องค์นี้มีนามว่า พระมหินทรา ได้มาอบรมสั่งสอนทางศาสนาและแทรกโหราศาสตร์ในถิ่นแหลมทองเรานี้ไว้ด้วย ซึ่งประมาณ ๘๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ปีมาแล้ว วิชาทางด้านโหราศาสตร์นี้ก็เจริญเรื่อยๆ มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา
ทางที่มาของจีน
ข้าพเจ้าเคยเห็นที่เขาเขียนแบบทักษาของเขามีลักษณะคล้ายของไทยเรามากทีเดียว มีรูปกากะบาดเหมือนของไทยเราจริงๆ แต่ในช่องกากะบาดนั้นแบ่งออกเป็น ๘ ช่อง แต่ละช่องแทนที่จะมีเลข ๑ ถึง ๘ วางอยู่ แต่กลับเป็นรูปดาวฤกษ์เข้าไปครองอยู่ทั้ง ๘ ช่อง ช่องที่ ๑ หัวมุมซ้ายมือที่พวกเราวางดวงอาทิตย์อยู่นั้นจะมีกลุ่มดาวฤกษ์อยู่ ๓ ฤกษ์ และช่องที่ ๒ พวกเราวางดวงจันทร์เข้าไว้ เขากลับมีดาวฤกษ์อยู่ ๔ กลุ่ม สลับ ๓ และ ๔ จนครบ ๘ ช่อง รวมแล้วจะมีดาวฤกษ์ ๒๘ กลุ่ม บริวาร อายุ เดช ศรี จนถึงกาลกรรณีไม่มี จึงไม่เหมือนแบบโหราศาสตร์ที่เราใช้อยู่
ทางที่มาของอินเดีย
ทางด้านของชาวอินเดียเขาทำเป็นรูปเหมือนยันต์ตรีนิสิงเห เป็นรูป ๔ เหลี่ยม ๙ ช่อง ได้เขียนเลขและตัวหนังสือ ซึ่งพวกเราจะไม่ค่อยเข้าใจในตัวหนังสือนั้นๆ ที่น่าแปลกก็คือ ของเขามีกำลังดาวพระเคราะห์ไว้ด้วย แต่ก็ไม่เหมือนของเรา เช่น ดาวพระศุกร์ มีกำลัง ๒๐ ของเรา ๒๑ และพระเคราะห์อื่นๆ ก็ไม่เหมือนของฝ่ายเรา ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่กล่าวไว้ในที่นี้
ทักษาตามแบบของไทยเราตามรูปนี้
ซึ่งไม่เหมือนของใครๆ และของเราใช้ได้ผลเหมือนกับดวงแก้ว ผู้รู้วิธีใช้แล้วได้ผลสมความปรารถนาทุกประการ โบราณาจารย์เก่าของเราได้แสดงการพยากรณ์จนเลื่องลืมมาหลายสมัยหลายยุคแล้วว่า ทายแม่นเหมือนตาเห็น ถ้ายิ่งทำดวงละเอียดแล้วยิ่งแม่นใหญ่
ตามสูตรทักษา
คนเกิดวันไหน? เราถือเอาวันนั้นเป็นบริวาร แล้วต่อไปเป็น อายุ เดช ศรี มูละ อุสาหะ มนตรี จนถึงกาลกรรณีตัวสุดท้ายของทักษาวันเกิด เมื่อมาผสมกับดวงชะตาแล้ว ดวงต่างๆ เมื่อยกออกเป็นดวงชะตาแล้ว จะไปสถิตอยู่ในราศีต่างๆ กัน บริวาร อายุ เดช ศรี ฯลฯ ตัวอะไรไปอยู่ที่ไหนก็แสดงอำนาจในเรือนนั้นๆ เช่น กาลกรรณีไปครองเรือนพันธุ ญาติพึ่งพาอาศัยไม่ได้หรือ กาลกรรณี ไปครองเรือนปุตตะ บุตรของท่านจะทำความรำคาญหรือความยุ่งยากมาสู่ท่าน หรือจะกลายเป็นบุตรที่พาลเกเรก็ได้ ถ้าศรีไปครองเรือนปุตตะ ท่านจะได้อภิชาตบุตรคือบุตรที่ส่งเสริมวงศ์ตระกูลให้สูงขึ้น แล้วจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดอายุขัยปีละ ๑ ช่วงเดือนละ ๑ ช่วง วันละหนึ่งช่วงเคลื่อนไปตามองศาของดวงอาทิตย์
ความหมายดาวเคราะห์ต่างๆ
ดาวเคราะห์ทั้ง ๑ ถึง ๑๐ มีความหมายเฉพาะตัว คือ
- อาทิตย์ มีความหมายเป็น นก
- จันทร์ “ เครื่องหอม
- อังคาร “ พวกโลหะ
- พุธ “ ของกิน
- พฤหัสบดี “ ผ้าแพร
- ศุกร์ “ เงินทอง เพชร
- เสาร์ “ ที่ดิน
- ราหู “ ต้นหมากรากไม้
- เกตุ “ ให้ความเปลี่ยนแปลง
- มฤตยู “ ของที่ยังไม่เปิดเผย
ซึ่งในแบบของไทยเรา ตามความเข้าใจหรือความคิดเห็นของข้าพเจ้าแล้ว การวางทักษาตลอดการวางเลขในช่องทั้งแปดช่องนั้น ท่านผู้คิดคงทำให้ถูกตามภูมิประเทศของแต่ละถิ่นจะเหมือนกันไม่ได้เพียงแต่คล้ายกันได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ทักษานี้มีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ท่านพ่อขุนรามคำแหง(วงศ์พระร่วงเจ้า) เป็นใหญ่อยู่ในสมัยนั้น ตามที่เล่าสู่กันฟังมามีว่า พระอรหันต์เข้ามาจากอินเดีย ผ่านพม่า มอญ และเลยเข้ามาถึงถิ่นสุโขทัย ซึ่งเป็นราชธานีของวงศ์พระร่วงเจ้าครองราชย์อยู่ พระอรหันต์องค์นี้มีนามว่า พระมหินทรา ได้มาอบรมสั่งสอนทางศาสนาและแทรกโหราศาสตร์ในถิ่นแหลมทองเรานี้ไว้ด้วย ซึ่งประมาณ ๘๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ปีมาแล้ว วิชาทางด้านโหราศาสตร์นี้ก็เจริญเรื่อยๆ มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา
และต่อมาจนถึงกรุงสยาม ก็ได้เจริญสืบต่อมากับบุคคลแต่ละบุคคลมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพวกเราที่ได้ใช้กันอยู่นี้ แต่เสียดายที่ตำราของพวกเราต้องถูกทำลายไปเสียเกือบหมดเมื่อครั้งเสียกรุงเก่าสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนชื่อ จากกรุงศรีอโยธยามาเป็นกรุงศรีอยุธยา เพราะการประจบสอพลอของพวกที่ไม่รู้เท่าทันในอักขระวิธีตั้งนาม เหตุวิบัติจึงเกิดขึ้น ทำให้เป็นเหตุของกรุ่งศรีอยุธยาแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าและเสียกรุงไปในที่สุด จากความรักชาติ พระเจ้าตากสินได้มาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี เมื่อหมดสมัยพระเจ้าตากสินแล้ว พระพุทธยอดฟ้าได้มาตั้งเมืองใหม่ ข้ามฝั่งมาอีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งกรุงเทพมหานครและได้ขนานนามว่า”ประเทศสยาม” ก็ร่มเย็นเป็นสุขสบายมาจนตลอดถึงสมัยของจอมพลแปลก(หลวงพิบูลย์สงคราม) ได้มาเปลี่ยนชื่อใหม่จากประเทศสยามเป็น”ประเทศไทย” เลยต้องมาเสียเสียมราษฎร์ พระตะบองทางด้านตะวันออก ส่วนด้านตะวันใต้เราก็เสีย ๔ รัฐไป คือ ไทรบุรี กลันตัน ตันมานู และปะลิส ซึ่งมากกว่า ๕ แสนตารางกิโลเมตร มากกว่าที่เรามีอยู่ปัจจุบันนี้
การที่มาเปลี่ยนชื่อประเทศเพราะไม่เข้าใจในอักขระวิธีทางโหราศาสตร์ซ้ำยังมาเปลี่ยน อักษรเดิมที่เรียนกันมามี ๔๔ ตัวเสียอีก ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาใช้ตามเดิม ตามความคิดของข้าพเจ้าคิดว่า “ทุกคนมีความรู้” แต่ไม่ใช่จะรู้ไปทุกๆ อย่างเรียนมาทางไหนก็รู้เพียงทางนั้นๆ ถ้ารู้ทุกอย่างทุกทาง ก็จะกลายเป็นเป็นไปหรือรู้ไม่จริงคือบินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ เดินก็ได้แต่ไม่เก่งเลยสักอย่างเดียว
ปัจจุบันนี้ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเพราะ ท่านที่มีความรู้ทั้งหลายในแต่ละสาขาในแต่ละด้าน แต่กลับมากลายเป็นผู้รู้ทุกๆ อย่างไป เช่น พวกจบปริญญาทางแพทย์ศาสตร์ไปเอาชนะกับพวกนิติศาสตร์ พวกสถาปนิก กลับไปเอาชนะทางแพทย์ศาสตร์เสียอีก เรื่องมันเลยยุ่งไปกันใหญ่ แม้แต่พวกนักศึกษา พอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็คิดว่าฉันเป็น”ปัญญาชนแล้ว” ก็พยายามจะเอาชนะกับผู้บริหารประเทศ ซึ่งพวกเขาผ่านประสบการณ์มาอย่างช่ำชองแล้ว ซึ่งในขณะนี้ทุกคนก็พยายามเรียกร้องสิทธิต่างๆ แต่หน้าที่ๆ ตนจะต้องทำก็ไม่ทำ จึงเกิดผลเสียขึ้น เนื่องจากรู้ไม่จริง หรือไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีพอดังเช่นการเปลี่ยนชื่อจาก”สยาม”มาเป็น “ไทย”
ทักษาซึ่งกล่าวถึงเรื่องนาม
เฉพาะทางด้านวิชาโหราศาสตร์แล้ว มีความละเอียดอ่อนมากมาย ท่านที่จะทำงานใหญ่เกี่ยวกับส่วนรวม ควรจะใช้ความสุขุมรอบคอบในการปรึกษากับทุกๆ ฝ่าย เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสถิติแขนงหนึ่ง อย่างน้อยก็ควรจะปรึกษากับสมาคมโหรต่างๆ เพื่อว่าท่านจะได้ข้อคิดเห็น ทางด้านดีและด้านเสีย ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรืองหรือความล่มจม ซึ่งทางสมาคมโหรฯ ก็มีผู้ทรงภูมิอยู่หลายด้านที่จะให้ข้อคิด อันจะเกิดประโยชน์แก่ท่านบ้าง ส่วนในเรื่องความคิดเห็นขัดแย้ง หรือคล้อยตามนั้นย่อมอยู่ในดุลพินิจของท่านเอง
ไม่ต้องมองดูอื่นไกล จอมพลแปลก ท่านเปลี่ยน นาม”สยาม” มาเป็นคำว่า”ไทย” คำนี้เป็นคำของท่านเองโดยไม่ได้ปรึกษาใคร ในที่สุดท่านก็ต้องจากประเทศบ้านเกิดไปจบสิ้นชีวิตในต่างแดนเพราะอักษร ด ต ฤ ท ธ น อักษรวรรคนี้ได้แก่ ดาวเสาร์ เป็นดาวที่เป็นดาวทุกข์ดาวโศก เมื่อเข้ากับดวงเมืองแล้วต้องพลัดถิ่น รัชกาลที่ ๗ ก็เหมือนกัน พระองค์ท่านตรงกับเลข ๒ พอดี เป็นดาวเสาร์ที่ต้องเสด็จไปอยู่ต่างประเทศ และมีนายกของเราหลายท่านที่มีชื่อ อักษร ด ต ถ ท ธ น ต้องจากไป เช่น
พระยามโนปกรณ์ฯ ท่านเป็นนายกคนที่ ๑ แต่ชื่อท่านตรงกับ อักษร น วรรคของดาวเสาร์ ท่านเลยต้องพลัดถิ่นไปอยู่ต่างประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็อยู่ในวรรค ด ต ถ ท ธ น เช่นเดียวกัน ส่วนมาคนหลังสุดก็คือจอมพลถนอม ซึ่งชื่อก็บอกอยู่ชัดๆ แล้ว อยู่ในวรรคดาวเสาร์เช่นกัน จึงต้องจากบ้านจากเมืองไป ถึงแม้บุคคลเหล่านี้จะสร้างคุณงามความดีไว้มากอย่างไรแต่ก็จะเสื่อมไปเพราะเป็นดาวกรรมมะ ของดวงเมืองแล้วไปอาศัยดาวพฤหัสบดีอยู่ ซึ่งไม่บ้านและเป็นวินาศกับบ้านของตัวเอง แม้แต่คำว่า ศุภะก็จะไม่มีความสุข ต้องไปหาความสุขในต่างถิ่น เช่น กรุงศรีอโยธยา เป็นกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมไม่มีศึกสงคราม พอมาเปลี่ยนจาก สระโอ มาเป็นสระอุ คือ อยุธ สระ อุ นี้ก็มาพอดีเป็นตัวที่ ๗ ของสระ ตรงกับเลขดาวเสาร์ จึงต้องเสียกรุงไป ส่วนคำว่า “สยาม” มาเป็นคำว่า “ไทย” ก็ตรงกับวรรคดาวเสาร์อีกคือ ด ต ถ ท ธ น ซึ่งจะเกิดการยุ่งยากไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะยังใช้นามนี้อยู่ ถ้ากลับมาเป็นคำว่า “สยาม” ได้ ความสงบเรียบร้อยก็จะเกิดขึ้น จะไม่มีการปีนเกลียวกันรวมทั้งจะไม่เสียแดนดินถิ่นไทยที่ปกครองประเทศสยาม
ดังพระราชนิพนธ์ของ รัชกาลที่ ๖
การที่มาเปลี่ยนชื่อประเทศเพราะไม่เข้าใจในอักขระวิธีทางโหราศาสตร์ซ้ำยังมาเปลี่ยน อักษรเดิมที่เรียนกันมามี ๔๔ ตัวเสียอีก ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาใช้ตามเดิม ตามความคิดของข้าพเจ้าคิดว่า “ทุกคนมีความรู้” แต่ไม่ใช่จะรู้ไปทุกๆ อย่างเรียนมาทางไหนก็รู้เพียงทางนั้นๆ ถ้ารู้ทุกอย่างทุกทาง ก็จะกลายเป็นเป็นไปหรือรู้ไม่จริงคือบินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ เดินก็ได้แต่ไม่เก่งเลยสักอย่างเดียว
ปัจจุบันนี้ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเพราะ ท่านที่มีความรู้ทั้งหลายในแต่ละสาขาในแต่ละด้าน แต่กลับมากลายเป็นผู้รู้ทุกๆ อย่างไป เช่น พวกจบปริญญาทางแพทย์ศาสตร์ไปเอาชนะกับพวกนิติศาสตร์ พวกสถาปนิก กลับไปเอาชนะทางแพทย์ศาสตร์เสียอีก เรื่องมันเลยยุ่งไปกันใหญ่ แม้แต่พวกนักศึกษา พอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็คิดว่าฉันเป็น”ปัญญาชนแล้ว” ก็พยายามจะเอาชนะกับผู้บริหารประเทศ ซึ่งพวกเขาผ่านประสบการณ์มาอย่างช่ำชองแล้ว ซึ่งในขณะนี้ทุกคนก็พยายามเรียกร้องสิทธิต่างๆ แต่หน้าที่ๆ ตนจะต้องทำก็ไม่ทำ จึงเกิดผลเสียขึ้น เนื่องจากรู้ไม่จริง หรือไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีพอดังเช่นการเปลี่ยนชื่อจาก”สยาม”มาเป็น “ไทย”
ทักษาซึ่งกล่าวถึงเรื่องนาม
เฉพาะทางด้านวิชาโหราศาสตร์แล้ว มีความละเอียดอ่อนมากมาย ท่านที่จะทำงานใหญ่เกี่ยวกับส่วนรวม ควรจะใช้ความสุขุมรอบคอบในการปรึกษากับทุกๆ ฝ่าย เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสถิติแขนงหนึ่ง อย่างน้อยก็ควรจะปรึกษากับสมาคมโหรต่างๆ เพื่อว่าท่านจะได้ข้อคิดเห็น ทางด้านดีและด้านเสีย ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรืองหรือความล่มจม ซึ่งทางสมาคมโหรฯ ก็มีผู้ทรงภูมิอยู่หลายด้านที่จะให้ข้อคิด อันจะเกิดประโยชน์แก่ท่านบ้าง ส่วนในเรื่องความคิดเห็นขัดแย้ง หรือคล้อยตามนั้นย่อมอยู่ในดุลพินิจของท่านเอง
ไม่ต้องมองดูอื่นไกล จอมพลแปลก ท่านเปลี่ยน นาม”สยาม” มาเป็นคำว่า”ไทย” คำนี้เป็นคำของท่านเองโดยไม่ได้ปรึกษาใคร ในที่สุดท่านก็ต้องจากประเทศบ้านเกิดไปจบสิ้นชีวิตในต่างแดนเพราะอักษร ด ต ฤ ท ธ น อักษรวรรคนี้ได้แก่ ดาวเสาร์ เป็นดาวที่เป็นดาวทุกข์ดาวโศก เมื่อเข้ากับดวงเมืองแล้วต้องพลัดถิ่น รัชกาลที่ ๗ ก็เหมือนกัน พระองค์ท่านตรงกับเลข ๒ พอดี เป็นดาวเสาร์ที่ต้องเสด็จไปอยู่ต่างประเทศ และมีนายกของเราหลายท่านที่มีชื่อ อักษร ด ต ถ ท ธ น ต้องจากไป เช่น
พระยามโนปกรณ์ฯ ท่านเป็นนายกคนที่ ๑ แต่ชื่อท่านตรงกับ อักษร น วรรคของดาวเสาร์ ท่านเลยต้องพลัดถิ่นไปอยู่ต่างประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็อยู่ในวรรค ด ต ถ ท ธ น เช่นเดียวกัน ส่วนมาคนหลังสุดก็คือจอมพลถนอม ซึ่งชื่อก็บอกอยู่ชัดๆ แล้ว อยู่ในวรรคดาวเสาร์เช่นกัน จึงต้องจากบ้านจากเมืองไป ถึงแม้บุคคลเหล่านี้จะสร้างคุณงามความดีไว้มากอย่างไรแต่ก็จะเสื่อมไปเพราะเป็นดาวกรรมมะ ของดวงเมืองแล้วไปอาศัยดาวพฤหัสบดีอยู่ ซึ่งไม่บ้านและเป็นวินาศกับบ้านของตัวเอง แม้แต่คำว่า ศุภะก็จะไม่มีความสุข ต้องไปหาความสุขในต่างถิ่น เช่น กรุงศรีอโยธยา เป็นกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมไม่มีศึกสงคราม พอมาเปลี่ยนจาก สระโอ มาเป็นสระอุ คือ อยุธ สระ อุ นี้ก็มาพอดีเป็นตัวที่ ๗ ของสระ ตรงกับเลขดาวเสาร์ จึงต้องเสียกรุงไป ส่วนคำว่า “สยาม” มาเป็นคำว่า “ไทย” ก็ตรงกับวรรคดาวเสาร์อีกคือ ด ต ถ ท ธ น ซึ่งจะเกิดการยุ่งยากไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะยังใช้นามนี้อยู่ ถ้ากลับมาเป็นคำว่า “สยาม” ได้ ความสงบเรียบร้อยก็จะเกิดขึ้น จะไม่มีการปีนเกลียวกันรวมทั้งจะไม่เสียแดนดินถิ่นไทยที่ปกครองประเทศสยาม
ดังพระราชนิพนธ์ของ รัชกาลที่ ๖
หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ได้ฤา
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้นสกุลไทย
พระราชนิพนธ์บทนี้ ได้พิจารณาแล้วไม่มีสยามแล้วไทยจะอยู่ได้อย่างไร ท่านไม่ต้องดูอื่นไกล เมื่อประเทศเกิดวิกฤตกาลในเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ผู้ที่เข้ามาดำรงความสงบสุขในบ้านเมือง ก็คือ อาจารย์ สัญญา คือชื่อที่มีอักษร ส ญ จะเป็น ญ หรือ ย ก็ตาม แต่ก็อ่านออกเสียงเหมือนกัน จึงทำให้ความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนของประชาชนผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่ก็ยังต้องวุ่นวายยุ่งๆ อยู่นั่นเอง เพราะเหตุ คำว่า “สยาม” มาเป็นคำว่า “ไทย”
ข้าพเจ้าที่ได้นำเรื่องนี้มากล่าวไว้เนื่องจากได้นำเอาเรื่องทักษามาอธิบายทั้งสิ้นและข้าพเจ้าก็แก่ตัวแล้ว อายุใกล้ ๗๐ เต็มที จึงเตือนมาขอให้ช่วยกันรักษา”ทักษาพยากรณ์” ซึ่งเป็นหลักตำราของคนไทยเราแท้ๆ เข้าไว้อย่าให้สูญหายไปเสีย
ที่มา : บทความนี้คัดลอกมาจากหนังสือพยากรณสาร ( https://sunwasa.wordpress.com )
#คุณยายกลิ่นโสม
#อ่านดวงไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#เรียนดวงไทยฟรี ที่เวปฯ #บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ที่เวปฯ #www.baankhunyai.com
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ได้ฤา
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้นสกุลไทย
พระราชนิพนธ์บทนี้ ได้พิจารณาแล้วไม่มีสยามแล้วไทยจะอยู่ได้อย่างไร ท่านไม่ต้องดูอื่นไกล เมื่อประเทศเกิดวิกฤตกาลในเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ผู้ที่เข้ามาดำรงความสงบสุขในบ้านเมือง ก็คือ อาจารย์ สัญญา คือชื่อที่มีอักษร ส ญ จะเป็น ญ หรือ ย ก็ตาม แต่ก็อ่านออกเสียงเหมือนกัน จึงทำให้ความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนของประชาชนผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่ก็ยังต้องวุ่นวายยุ่งๆ อยู่นั่นเอง เพราะเหตุ คำว่า “สยาม” มาเป็นคำว่า “ไทย”
ข้าพเจ้าที่ได้นำเรื่องนี้มากล่าวไว้เนื่องจากได้นำเอาเรื่องทักษามาอธิบายทั้งสิ้นและข้าพเจ้าก็แก่ตัวแล้ว อายุใกล้ ๗๐ เต็มที จึงเตือนมาขอให้ช่วยกันรักษา”ทักษาพยากรณ์” ซึ่งเป็นหลักตำราของคนไทยเราแท้ๆ เข้าไว้อย่าให้สูญหายไปเสีย
ที่มา : บทความนี้คัดลอกมาจากหนังสือพยากรณสาร ( https://sunwasa.wordpress.com )
#คุณยายกลิ่นโสม
#อ่านดวงไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#เรียนดวงไทยฟรี ที่เวปฯ #บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ที่เวปฯ #www.baankhunyai.com