พระอุปคุต/พระบัวเข็ม
ประวัติ พระอุปคุตมหาเถระเจ้า
ประวัติพระอุปคุตมหาเถรเจ้า
ชาติกำเนิด
พระอุปคุตมหาเถระ ชื่อเต็มของท่านคือ “กีสนาคอุปคุต” เรียกสั้นๆว่า “อุปคุต” ประชาชนโดยทั่วไปมักชอบเรียกท่านว่า “พระอุปคุต” ข้าพเจ้าผู้เขียนประวัติของท่านก็ชอบเรียกท่านว่า “อุปคุต” เพราะคำว่า “อุปคุต” เมื่อแปลออกมาแล้วมันได้ความหมายตรงกับอุปนิสัยของท่านมากทีเดียว
คำว่า “อุปคุต” เมื่อแยกออกจากกันแล้วจะได้คำ ๒ คำ คือ:-
๑.อุปะ คำนี้เป็นคำอุปสรรค แปลว่า “เข้าไป, ใกล้, มั่น”
๒.คุตะ คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ มาจากภาษาบาลีว่า “คุตตะ” แปลว่า “คุ้มครองรักษาแล้ว” เมื่อรวมคำสองคำเข้าด้วยกันเป็น อุปคุต แล้วจึงแปล่า “ผู้ชอบการคุ้มครองรักษา” ตัวท่านเองชอบสงบกายวาจาและใจ กายท่านชอบกายวิเวกไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เพราะฉะนั้นท่านจึงเนรมิตเรือนแก้วขึ้นที่ใต้สะดือทะเลหลวงแล้วก็อยู่และจำพรรษา ณ ที่นั้นตลอดไป วาจาท่านสำรวมมากไม่ค่อยพูดจาพูดแต่น้อยไม่ค่อยได้พูดจากับใครเป็นเวลาหลายๆ เดือน ใจท่านจะนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติอยู่เสมอ
พระอุปคุตท่านเกิดที่เมืองมถุราในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ในตระกูลของพ่อค้าบิดาของท่านเป็นพ่อค้าขายเครื่องหอมชื่อว่า "คุปตะ" มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน มารดาของท่านชื่อว่า "พราหมณิยา" หลายปีต่อมาบิดาของท่านได้ไปขายเครื่องหอมที่เมืองปาตลีบุตรปรากฏว่ามันขายดีกว่าเมืองมถุราเพราะที่เมืองปาตลีบุตรผู้คนใช้เครื่องหอมมากและที่เมืองปาตลีบุตรนั้นประชาชนมีมากเพราะเป็นเมืองหลวง บิดาของท่านจึงได้ตัดสินใจอพยบพาครอบครัวไปอยู่ที่เมืองปาตลีบุุตร เมื่อบิดาของท่านพาครอบครัวไปอยู่ที่แมืองปาตลีบุตรแล้ว เดิมทีบิดาของท่านได้รู้จักกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่งชื่อว่า "สาณะกะวาสิน" และ ได้ให้คำสัญญาแก่พระสาณะกะวาสินว่า "ถ้าได้ลูกชายจะให้บวชในพระพุทธศาสนา" แต่พอได้ลูกชายจริงๆก็กลับพูดบ่ายเบี่ยงว่า "อยากให้ลูกชายช่วยงานในครอบครัวเสียก่อน" พอได้ลูกคนที่ ๒ ก็พูดบ่ายเบี่ยงเหมือนเดิม แต่พอได้ลูกชายคนที่ ๓ คืออุปคุตกุมาร
วันหนึ่งอุปคุตกุมารได้ไปฟังเทศน์ของท่านสาณะกะวาสินที่วัดกับพ่อ ท่านได้นั่งฟังเทศน์อย่างสงบพิจารณาไปตามกระแสของพระธรรมที่พระสาณะกะวาสินแสดงทำให้ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อท่านได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วก็มีความประสงค์อยากจะบวชในพระพุทธศาสนา จึงพูดขออนุญาตกับบิดา บิดาของท่านเมื่อเห็นบุตรชายคนที่ ๓ มีความประสงค์อย่างนี้ก็คิดว่าเราได้ให้สัญญากับพระสาณะกะวาสินว่า "ถ้าได้ลูกชายแล้วจะให้บวชในพระพุธศาสนา" ก็ ๒ คนมาแล้วที่เราพูดบ่ายเบี่ยงไม่ให้บวช แต่พอได้คนที่ ๓ คืออุปคุตกุมารเราคงจะพูดบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นจุดประสงค์ของลูกชายของเราเอง
อนึ่งการที่เรายอมให้อุปคุตบวชก็จะเป็นการแก้คำสญญาที่ให้ไว้แก่พระสาณะกะวาสินได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วก็รับปากยอมอนุญาตให้บวช เมื่อตกลงปลงใจเช่นนี้แล้วก็ได้พาลูกชายไปหาพระสาณะกะวาสินที่วัดขออุปสมบทกับท่าน พระสาณะกะวาสินก็ทำการบวชให้แก่อุปคุตกุมาร เมื่ออุปคุตกุมารได้บวชแล้วก็ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างขยันและจริงจังทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญาโดยการใช้เวลาไม่นาน เมื่อท่านอุปคุตได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็เป็นอาจารย์สั่งสอนสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแก่ลูกศิษย์ลูกหาจนมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยนั้น การสั่งสอนของท่านทำให้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นเป็นจำนวนถึง ๑๘,๐๐๐ รูป พระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์ที่ได้อภิญญาซึ่งสามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์และฤทธิ์เดชได้ต่างๆนานาเป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านมีปฏิปทาในทางมักน้อยสันโดษไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะเพราะฉะนั้นท่านจึงเนรมิตเรือนแก้วขึ้นในสะดือทะเลหลวงแล้วจึงลงไปจำพรรษาและอาศัยอยู่ในที่นั้นจนตลอดอายุขัยของท่าน
พระอุปคตแสดงฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์
เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังจากพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ณ ที่นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ในภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูปเจดีย์ถึง ๘๔๐๐๐ องค์ พระองค์ได้ทำการรวบรวมและขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุจากเจดีย์ต่างเอามารวมไว้ที่สถูปเจดีย์ที่พระองค์ได้สร้างขึ้น เมื่อการรวบรวมและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง คือการสมโภชตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภชเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนของพวกมารร้ายต่างๆ
แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตรในขณะนั้น ไม่มีรูปใดที่จะสามารถเป็นผู้คุ้มครองงานอันมหึมาและยิ่งใหญ่นี้ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งพระตัวแทน ๒ รูป ให้ลงไปอาราธนานิมนต์พระอุปคุตมหาเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัยงานสมโภชในครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียวเข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้นมาเหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น
พระภิกษุทั้งสองรูปนั้นเมื่อได้รับหน้าที่ให้ไปนิมนต์พระอุปคุตที่สะดือทะเล แล้วก็ได้ชำแรกน้ำทะเลลงไปจนถึงเรือนแก้วอันเป็นที่อยู่ของพระอุปคุต พระอุปคุตท่านก็ตอนรับขับสู่เป็นอันดีแล้วจึงเอ่ยถามพระเถระทั้งสองรูปนั้น ว่า "พวกท่านมาหาผมในครั้งนี้ด้วยจุดประสงค์อันใดหรือ?" พระเถระทั้งสองก็ตอบท่านว่า "เกล้ากระผมทั้งสองรูปได้รับหน้าที่ให้ลงมานิมนต์พระคุณท่านให้ขึ้นไปช่วยปกป้องคุ้มครองการรบกวนของพญามารในงานสมโภชพระสถูปเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระองค์จะทำการสมโภชเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน และ ๗ วัน พระองค์ปราถนาจะให้งานสมโภชเรียบร้อยไปด้วยดีปราศจากการรบกวนของพวกพญามารทั้งหลาย จึงได้ส่งพวกเกล้ากระผมทั้งสองรูปลงมานิมนต์พระคุณท่าน ขอรับ" พระอุปคุตเมื่อรู้จุดประสงค์ ของพระเถระทั้งสองรูปแล้วท่านก็รับนิมนต์และท่านก็ขึ้นมารายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทราบข่าวว่าพระอุปคุตที่ให้ไปนิมนต์ขึ้นมาจากสะดือทะเลหลวงแล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จมานมัสการเพื่อจะดูว่าพระอุปคุตองค์นี้จะมีคุณสมบัติอันเหมาะสมกับหน้าที่นี้หรือไม่ พอพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงเห็นรูปร่างของพระอุปคุตแล้วก็เกิดความคลางแคลงสงสัยขึ้นในพระทัยว่า "พระอุปคุตองค์นี้ดูร่างกายบอบบางผอมโซเหมือนคนไม่มีแรง รูปร่างอย่างนี้จะสู้กับพระยามารได้หรือ? จะทำหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ได้สมบูรณ์หรือเปล่า? จำเราจะต้องทดสอบดูก่อนว่าจะทำหน้าที่ได้หรือไม่ ถ้าทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็จะปรึกษากับคณะสงฆ์เฟ้นหาพระองค์อื่นที่เหมาะสมกันต่อไป" หลังจากสนทนากับคณะสงฆ์พอเป็นที่สบายพระทัยแล้วก็ทรงเสด็จดำเนินกลับพระราชวัง
เช้าวันรุ่งขึ้นพระอุปคุตท่านออกไปบิณฑบาตในเมืองปาตลีบุตร ในขณะที่กำลังเดินรับบิณฑบาตอยู่นั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นพระอุปคุตกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ จึงทรงใคร่จะทดลองฤทธิ์เดชของพระอุปคุตดูว่ามันจะเป็นจริงตามที่คณะสงฆ์ได้ยกย่องกันหรือเปล่า จึงทรงมีรับสั่งให้คนเลี้ยงช้างปล่อยช้างตกมันให้วิ่งเข้าไปทำร้ายพระมหา เถระ พระอุปคุตได้เห็นช้างตกมันวิ่งเข้ามาหาเพื่อจะทำร้ายจึงได้ทำการสกดช้างด้วย พลังจิตอันสูงส่งด้ายวาจาว่า "ช้างตัวดีเจ้าจงหยุดอยู่ตรงนั้นอย่าได้ไหวติงเลย" ช้างตกมันตัวนั้นก็กลายเป็นช้างหินแข็งทื่อไปเลย เคลื่อนไหวอะไรมิได้ พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อได้ทรงเหตุการณ์เช่นนั้นด้วยพระเนตรของพระองค์เองก็ทรงเลื่อมใสในพระอุปคุตยิ่งนักทรงเสด็จไปขอขมาโทษพระมหาเถระถึงที่วัดอย่างสำนึกผิด พระอุปคุตก็ให้อภัยแก่พระเจ้าอโศกมหาราชและแก่ช้างตกมันตัวนั้นด้วย เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นว่าพระอุปคุตมีฤทธานุภาพมาก จึงตรัสสั่งให้เตรียมการสมโภชพระสถูปเจดีย์ในทันที มีการปลูกสร้างปะรำพิธีที่ประดับประดาด้วยธงทิวประทีปและโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำตามแนวฝั่งของแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อถึงวันฤกษ์งามยามดี พระสงฆ์ขีณาสพและพระสงฆ์ปุถุชนตลอดจนพุทธศาสนิกชนในเมืองปาตลีบุตรและประชาชนทั่วทุกสารทิศก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่บริเวณงานพร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชาเพื่อร่วมพิธีการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในพระสถูปและมหาเจดีย์ทั้ง ๘๔๐๐๐ องค์ ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นเองพญามารที่มีชื่อว่า "พญาวัสสวดีมาร" ก็แทรกซึมเขามากับเขาด้วยเพื่อจะก่อความวุ่นวาย เมื่อแทรกซึมเข้ามาได้แล้ว พญามารก็บรรดาลให้เกิดลมพายุพัดเอาปะรำพิธีแทบหักแต่ก็ถูกพระอุปคุตช่วยเอาไว้ได้ บางครั้งพญามารก็แปลงร่างเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายทำให้คนมาในงานเกิดความหวาดกลัว พระอุปคุตก็กำราบเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะแปลงเป็นอะไรมาก็ตามพระอุปคุตก็กำราบปราบปรามเอาไว้ได้ทุกครั้ง เพื่อเป็นการตัดปัญหาเรื่องการก่อกวนของพญามาร พระอุปคุตท่านจึงเนรมิตร่างของหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วดึงเอาประคตเอวจากเอวของท่านมาผูกร่างหมาเน่าเอาไว้แล้วนำเอาไปคล้องคอของพญามารและท่านก็พูด เป็นวาจาสิทธิ์ว่า "ไม่ว่าใครก็ตามจะเอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารไม่ได้" แล้วก็ขับพญามารออกจากบริเวณงานในทันที ด้วยความอับอายพญามารก็รีบออกจากบริเวณงานในทันที พญามารพยายามแก้ร่างหมาเน่าออกจากร่างกายก็แก้ไม่ได้ เพราะเวลาที่พญามารเอามือจับที่ร่างหมาเน่าเพื่อจะแก้ออกจากคอนั้นก็เกิดมีไฟลุกไหม้คอขึ้นมาทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นพญามารก็ไปเที่ยวหาคนอื่นให้แก้ให้เป็นร้อยเป็นพันคน แม้กระทั่งเทวดาทั้งหลายเช่น พระอินร์ ท้าวยามาเทพบุตร ท้าวสันดุสิตเทพบุตร และท้าวสหบดีพรหมผู้ยิ่งใหญ่ในพรหมโลกก็แก้ไม่ได้ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็บอกแก่พญามารว่า"คนที่ จะแก้ได้ก็มีแต่ท่านพระอุปคุตคนเดียวเท่านั้นคนอื่นอย่าได้ไปเที่ยวหาให้ เสียเวลาเลย ท่านจงไปหาพระอุปคุตอ้อนวอนขอความเมตตากับท่านขอให้ท่านยกโทษให้ เมื่อท่านยกโทษให้แล้วท่านก็จะแก้ร่างหมาเน่าออกจากคอของคุณเองแหละ"
เมื่อ พญามารหมดที่พึ่งที่จะไปขอความช่วยเหลือแล้วก็จำต้องไปหาพระอุปคุตเพื่อขอ ความเมตตาจากท่าน พระอุปคุตท่านเห็นพญามารหมดพยศย่อมสยบราบคาบทุกอย่างมากล่าวว้ออนวอนขอความ เมตตาให้เอาร่างหมาเน่าออกจากคอ ก็ให้เกิดความเมตตาสงสาร แต่ก็ยังไม่ไว้ใจพญามารจึงได้นำเอาพญามารไปสู่ภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งแล้วนำเอา ร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารแล้วก็ทิ้งลงไปในเหวลึก จึงเนรมิตให้สายประคตเอวของท่านยาวออกแล้วเอาผูกคอพญามารมัดติดไว้กับภูเขา ลูกนั้นแล้วก็พูดกับพญามารว่า "เจ้าจงอยู่ที่นี้จนกว่าจะทำการสมโภชพระสถูปเจดีย์เสร็จสิ้นจึงจะมาปล่อย" เมื่อ งานสมโภชพระสถูปเจดีย์และพระบรมสารีริกธาตุเสร็จสิ้นลงแล้ว พระอุปคุตจึงมาหาพญามารโดยการแอบดูอยู่ห่างๆว่าพญามารหมดพยศแล้วหรือยัง
พญามารปราถนาพุทธภูมิ
ส่วนพญามารเมื่อถูกพระอุปคุตจับมัดไว้กับภูเขาเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็หมดพยศร้ายที่เกิดขึ้นในสันดานเหลือแต่กุศลจิตคือจิตที่เป็นบุญเป็นกุศลเท่านั้น พญามารได้มาจากทิพยวิมานในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดีมารับทุกขเวทนาในโลก มนุษย์เป็นเวลานานจึงได้หวนระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าและกล่าวคำปรารภออกมาว่า "พระพุทธองค์ บำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกับแสนมหากัปป์เพื่อเป็นที่พึ่งของสัตวโลก เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ในกาลก่อนเราได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆพระองค์ก็ไม่ทรงเอาโทษมิได้ตอบโต้โดยประการใดๆยังมีเมตตาแก่เราอีก แต่พระสาวกยุคสุดท้ายของพระองค์ที่มีชื่อว่า "อุปคุตองค์นี้" ไม่มีเมตตาแก่เราเลยแถมยังทรมานเราให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและให้ ได้รับความอับอายยิ่งนัก ถ้าบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมเอาไว้ในกาลก่อนยังคงเหลืออยู่ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตดังเช่นพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
การได้ตกระกำลำบากในครั้งนี้ทำให้พญามารเกิดความสำนึกผิค คิดเป็นกุศลอยากบำเพ็ญคุณงามความดีตามความเป็นจริงแล้วในอดีตชาติพญามารเคยมีจิตตั้งมั่นเพื่อจะบำเพ็ญเพียรให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ได้กระทำการขัดขวางพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "โคดม" เพราะความริษยาว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตนทั้งๆที่ตนเองก็บำเพ้ญบารมีมามากเหมือนกันและพฤติกรรมแต่ละครั้งก็มิได้ล่วงเกินที่เป็นกรรมหนักแต่ประการใด
พระอุปคุตได้เมื่อยินคำปรารภของพญามารเช่นนั้นก็รู้ว่าพญามารสิ้นพยศแล้วจึงได้เอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารปล่อยพญามารให้เป็นอิสระ และได้กล่าวคำขอโทษพญามารว่า "ที่อาตมากระทำแก่ท่านเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านระลึกนึกถึงพุทธภูมิที่ท่านปราถนาเอาไว้แล้วนั้นเองมิได้ประสงค์ร้ายต่อท่านแต่ประการใด" พญามารก็เข้าใจในความประสงค์ของพระอุปคุตมหาเถระ
พระอุปคุตพูดกับพญามารว่า "ท่านมีอายุยืนยาวได้เห็นพระพุทธเจ้าตั้งหลายพระองค์
ท่านพอจะจำรูปร่างของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมได้บ้างไหม?"
พญามารก็พูดกับพระมหาเถระว่า "กระผม จำรูปร่างของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมได้ดี กระผมเคยพาบริวารไปทวงเอาบัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งที่อยู่ใต้ต้นพระศรี มหาโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราในคราวที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา"
พระอุปคุตพูดกับพญามารว่า "อาตมาเป็นสาวกรุ่นหลังเกิดมายังไม่เคยเห็นรูปร่างของพระพทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร ตามตำรากล่าวไว้ว่าพระพุทธเจ้ามีรูปร่างงดงามยิ่งกว่าเทพยดา ข้อนี้จะจริงหรือไม่?"
พญามารตอบพระอุปคุตว่า "จริงอย่างนั้น พระคุณเจ้า"
พระอุปคุตก็กล่าวกับพญามารต่อไปว่า "อาตมาอยากเห็นจริงๆ ท่านพอจะเนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าให้อาตมาดูสักหน่อยได้ไหม?"
พญามารก็ตอบพระอุปคุตว่า "ได้ซิพระคุณเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าเวลากระผมเนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าให้พระคุณเจ้าดู พระคุณเจ้าจงอย่าได้หลงกราบไหว้กระผมเป็นเป็นเด็ดขาด ถ้าขืนทำเช่นนั้นมันจะทำให้กระผมบาปหนักจริงๆนะ พระคุณเจ้า"
พระอุปคุตตอบว่า "เอาเถอะ อาตมาจะไม่หลงกราบไหว้อย่างแน่นอน"
ในทันใดนั้นเองพญามารก็เนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าที่ตนเองได้เคยเห็นมา ซึ่งเป็นรูปร่างที่ประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะอันแสนจะงดงาม มีฉัพพรรณรังสี พุุ่งออกจากพระวรกายของพระองค์เป็นหกสีคือ:-
๑.สีเขียวเหมือนดอกอัญชัญ
๒.สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง
๓.สีแดงอ่อนๆเหมือนแสงพระอาทิตย์เริ่มขึ้นใหม่ๆ
๔.สีขาวเหมือนแผ่นเงิน
๕.สีเหลืองเหมือนดอกหงอนไก่
๖.สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีแต่ละสีสว่างไสวเจิดจ้าสดใสเป็นประกายประดุจดังสายรุ้งผู้ใดอยู่ในกระแส แห่งรัศมีแล้ว ผู้นั้นจะปลื้มปีติมีความสุขน้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่ได้ร้องไห้เพราะอำนาจของปีติ งดงามวิจิตรพิสดารยิ่งนักจนหาที่จะเปรียบมิได้ พระพุทธองค์เสด็จเยื้องพระวรกายด้วยพุทธลีลาอันแสนจะงดงามอยู่ตรงกลางซึ่งแวดล้อมไปด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา พระอุปคุตและพระเถระทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นได้เห็นรูปร่างพระวรกายอันสวยสดงดงามของ พระพุทธเจ้าแล้วก็เพ่งดูจนลืมตัวไม่สามารถจะอดกลั้นความปลื้มปีติเอาไว้ได้ น้ำ ตาจึงหลั่งไหลออกมาจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัวพระเถระทุุกองค์ก็กราบนมัสการ พระรูปเนรมิตนั้นอย่างลีมตัว พญามารเห็นพระเถระทั้งหลายกราบนมัสการตนเองเช่นนั้นจึงตกใจรีบกลับคืนร่างเดิมในทันที พญามารจึงกล่าวท้วงติงขึ้นว่า "พระคุณเจ้าทั้งหลายทำให้กระผมบาปหนักแล้ว"
ส่วนพระเถระทั้งหลายก็กล่าวเอาใจพญามารว่า "ดูก่อนพญามาร ท่านเนรมิตพระรูปกายของพระพุทธเจ้าให้พวกอาตมาได้เห็นและได้ทัศนาเช่นนี้ มันจะเป็นบุญมากกว่าเป็นบาป การกระทำสิ่งใดถ้ากระทำแล้วผู้อื่นเดือดร้อนสิ่งนั้นจึงเป็นบาป แต่ท่านได้เนรมิตพระรูปกายของพระพุทธเจ้าให้พวกอาตมาทั้งหลายได้เห็นจนพวกอาตมาต้องหลั่งไหลน้ำตาออกมาอย่างมีความสุขการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้" ฝ่ายพญามารเมื่อเห็นพระเถระทั้งหลายกล่าวออกมาเช่นนั้นก็ค่อยสบายใจ หลังจากนั้นพญามารก็กราบลาพระเถระทั้งหลายขึ้นสู่เมืองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดี นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพญามารก็มีจิตใจอ่อนน้อมเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาหมดสิ้นน้ำใจที่ริษยา สร้างสมบุญบารมีเพื่อพระพุทธภูมิที่ได้ตั้งปราถนาเอาไว้ต่อไป
ก่อนที่จะจบเรื่องประวัติของพระอุปคุตมหาเถรเจ้านี้ ข้าพเจ้าผู้เขียนอยากนำเอาเรื่องราวในอดีตชาติที่เกิดขึ้นมาแล้วในปางก่อน ของท่านมาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นการประดับความรู้เกี่ยวกับมหาเถระชื่อว่าอุปคุตองค์นี้ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จไปโปรดพญานาคชื่อว่า "อะปะลาละ" โปรดช่างปั้นหม้อ, หญิงจัณฑาล, และนายโคบาล" พอโปรดเสร็จเรียบร้อยแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับเมืองมถุรา
ประวัติพระอุปคุตมหาเถรเจ้า
ชาติกำเนิด
พระอุปคุตมหาเถระ ชื่อเต็มของท่านคือ “กีสนาคอุปคุต” เรียกสั้นๆว่า “อุปคุต” ประชาชนโดยทั่วไปมักชอบเรียกท่านว่า “พระอุปคุต” ข้าพเจ้าผู้เขียนประวัติของท่านก็ชอบเรียกท่านว่า “อุปคุต” เพราะคำว่า “อุปคุต” เมื่อแปลออกมาแล้วมันได้ความหมายตรงกับอุปนิสัยของท่านมากทีเดียว
คำว่า “อุปคุต” เมื่อแยกออกจากกันแล้วจะได้คำ ๒ คำ คือ:-
๑.อุปะ คำนี้เป็นคำอุปสรรค แปลว่า “เข้าไป, ใกล้, มั่น”
๒.คุตะ คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ มาจากภาษาบาลีว่า “คุตตะ” แปลว่า “คุ้มครองรักษาแล้ว” เมื่อรวมคำสองคำเข้าด้วยกันเป็น อุปคุต แล้วจึงแปล่า “ผู้ชอบการคุ้มครองรักษา” ตัวท่านเองชอบสงบกายวาจาและใจ กายท่านชอบกายวิเวกไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เพราะฉะนั้นท่านจึงเนรมิตเรือนแก้วขึ้นที่ใต้สะดือทะเลหลวงแล้วก็อยู่และจำพรรษา ณ ที่นั้นตลอดไป วาจาท่านสำรวมมากไม่ค่อยพูดจาพูดแต่น้อยไม่ค่อยได้พูดจากับใครเป็นเวลาหลายๆ เดือน ใจท่านจะนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติอยู่เสมอ
พระอุปคุตท่านเกิดที่เมืองมถุราในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ในตระกูลของพ่อค้าบิดาของท่านเป็นพ่อค้าขายเครื่องหอมชื่อว่า "คุปตะ" มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน มารดาของท่านชื่อว่า "พราหมณิยา" หลายปีต่อมาบิดาของท่านได้ไปขายเครื่องหอมที่เมืองปาตลีบุตรปรากฏว่ามันขายดีกว่าเมืองมถุราเพราะที่เมืองปาตลีบุตรผู้คนใช้เครื่องหอมมากและที่เมืองปาตลีบุตรนั้นประชาชนมีมากเพราะเป็นเมืองหลวง บิดาของท่านจึงได้ตัดสินใจอพยบพาครอบครัวไปอยู่ที่เมืองปาตลีบุุตร เมื่อบิดาของท่านพาครอบครัวไปอยู่ที่แมืองปาตลีบุตรแล้ว เดิมทีบิดาของท่านได้รู้จักกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่งชื่อว่า "สาณะกะวาสิน" และ ได้ให้คำสัญญาแก่พระสาณะกะวาสินว่า "ถ้าได้ลูกชายจะให้บวชในพระพุทธศาสนา" แต่พอได้ลูกชายจริงๆก็กลับพูดบ่ายเบี่ยงว่า "อยากให้ลูกชายช่วยงานในครอบครัวเสียก่อน" พอได้ลูกคนที่ ๒ ก็พูดบ่ายเบี่ยงเหมือนเดิม แต่พอได้ลูกชายคนที่ ๓ คืออุปคุตกุมาร
วันหนึ่งอุปคุตกุมารได้ไปฟังเทศน์ของท่านสาณะกะวาสินที่วัดกับพ่อ ท่านได้นั่งฟังเทศน์อย่างสงบพิจารณาไปตามกระแสของพระธรรมที่พระสาณะกะวาสินแสดงทำให้ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อท่านได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วก็มีความประสงค์อยากจะบวชในพระพุทธศาสนา จึงพูดขออนุญาตกับบิดา บิดาของท่านเมื่อเห็นบุตรชายคนที่ ๓ มีความประสงค์อย่างนี้ก็คิดว่าเราได้ให้สัญญากับพระสาณะกะวาสินว่า "ถ้าได้ลูกชายแล้วจะให้บวชในพระพุธศาสนา" ก็ ๒ คนมาแล้วที่เราพูดบ่ายเบี่ยงไม่ให้บวช แต่พอได้คนที่ ๓ คืออุปคุตกุมารเราคงจะพูดบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นจุดประสงค์ของลูกชายของเราเอง
อนึ่งการที่เรายอมให้อุปคุตบวชก็จะเป็นการแก้คำสญญาที่ให้ไว้แก่พระสาณะกะวาสินได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วก็รับปากยอมอนุญาตให้บวช เมื่อตกลงปลงใจเช่นนี้แล้วก็ได้พาลูกชายไปหาพระสาณะกะวาสินที่วัดขออุปสมบทกับท่าน พระสาณะกะวาสินก็ทำการบวชให้แก่อุปคุตกุมาร เมื่ออุปคุตกุมารได้บวชแล้วก็ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างขยันและจริงจังทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญาโดยการใช้เวลาไม่นาน เมื่อท่านอุปคุตได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็เป็นอาจารย์สั่งสอนสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแก่ลูกศิษย์ลูกหาจนมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยนั้น การสั่งสอนของท่านทำให้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นเป็นจำนวนถึง ๑๘,๐๐๐ รูป พระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์ที่ได้อภิญญาซึ่งสามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์และฤทธิ์เดชได้ต่างๆนานาเป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านมีปฏิปทาในทางมักน้อยสันโดษไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะเพราะฉะนั้นท่านจึงเนรมิตเรือนแก้วขึ้นในสะดือทะเลหลวงแล้วจึงลงไปจำพรรษาและอาศัยอยู่ในที่นั้นจนตลอดอายุขัยของท่าน
พระอุปคตแสดงฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์
เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังจากพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ณ ที่นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ในภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูปเจดีย์ถึง ๘๔๐๐๐ องค์ พระองค์ได้ทำการรวบรวมและขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุจากเจดีย์ต่างเอามารวมไว้ที่สถูปเจดีย์ที่พระองค์ได้สร้างขึ้น เมื่อการรวบรวมและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง คือการสมโภชตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภชเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนของพวกมารร้ายต่างๆ
แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตรในขณะนั้น ไม่มีรูปใดที่จะสามารถเป็นผู้คุ้มครองงานอันมหึมาและยิ่งใหญ่นี้ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งพระตัวแทน ๒ รูป ให้ลงไปอาราธนานิมนต์พระอุปคุตมหาเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัยงานสมโภชในครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียวเข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้นมาเหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น
พระภิกษุทั้งสองรูปนั้นเมื่อได้รับหน้าที่ให้ไปนิมนต์พระอุปคุตที่สะดือทะเล แล้วก็ได้ชำแรกน้ำทะเลลงไปจนถึงเรือนแก้วอันเป็นที่อยู่ของพระอุปคุต พระอุปคุตท่านก็ตอนรับขับสู่เป็นอันดีแล้วจึงเอ่ยถามพระเถระทั้งสองรูปนั้น ว่า "พวกท่านมาหาผมในครั้งนี้ด้วยจุดประสงค์อันใดหรือ?" พระเถระทั้งสองก็ตอบท่านว่า "เกล้ากระผมทั้งสองรูปได้รับหน้าที่ให้ลงมานิมนต์พระคุณท่านให้ขึ้นไปช่วยปกป้องคุ้มครองการรบกวนของพญามารในงานสมโภชพระสถูปเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระองค์จะทำการสมโภชเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน และ ๗ วัน พระองค์ปราถนาจะให้งานสมโภชเรียบร้อยไปด้วยดีปราศจากการรบกวนของพวกพญามารทั้งหลาย จึงได้ส่งพวกเกล้ากระผมทั้งสองรูปลงมานิมนต์พระคุณท่าน ขอรับ" พระอุปคุตเมื่อรู้จุดประสงค์ ของพระเถระทั้งสองรูปแล้วท่านก็รับนิมนต์และท่านก็ขึ้นมารายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทราบข่าวว่าพระอุปคุตที่ให้ไปนิมนต์ขึ้นมาจากสะดือทะเลหลวงแล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จมานมัสการเพื่อจะดูว่าพระอุปคุตองค์นี้จะมีคุณสมบัติอันเหมาะสมกับหน้าที่นี้หรือไม่ พอพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงเห็นรูปร่างของพระอุปคุตแล้วก็เกิดความคลางแคลงสงสัยขึ้นในพระทัยว่า "พระอุปคุตองค์นี้ดูร่างกายบอบบางผอมโซเหมือนคนไม่มีแรง รูปร่างอย่างนี้จะสู้กับพระยามารได้หรือ? จะทำหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ได้สมบูรณ์หรือเปล่า? จำเราจะต้องทดสอบดูก่อนว่าจะทำหน้าที่ได้หรือไม่ ถ้าทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็จะปรึกษากับคณะสงฆ์เฟ้นหาพระองค์อื่นที่เหมาะสมกันต่อไป" หลังจากสนทนากับคณะสงฆ์พอเป็นที่สบายพระทัยแล้วก็ทรงเสด็จดำเนินกลับพระราชวัง
เช้าวันรุ่งขึ้นพระอุปคุตท่านออกไปบิณฑบาตในเมืองปาตลีบุตร ในขณะที่กำลังเดินรับบิณฑบาตอยู่นั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นพระอุปคุตกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ จึงทรงใคร่จะทดลองฤทธิ์เดชของพระอุปคุตดูว่ามันจะเป็นจริงตามที่คณะสงฆ์ได้ยกย่องกันหรือเปล่า จึงทรงมีรับสั่งให้คนเลี้ยงช้างปล่อยช้างตกมันให้วิ่งเข้าไปทำร้ายพระมหา เถระ พระอุปคุตได้เห็นช้างตกมันวิ่งเข้ามาหาเพื่อจะทำร้ายจึงได้ทำการสกดช้างด้วย พลังจิตอันสูงส่งด้ายวาจาว่า "ช้างตัวดีเจ้าจงหยุดอยู่ตรงนั้นอย่าได้ไหวติงเลย" ช้างตกมันตัวนั้นก็กลายเป็นช้างหินแข็งทื่อไปเลย เคลื่อนไหวอะไรมิได้ พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อได้ทรงเหตุการณ์เช่นนั้นด้วยพระเนตรของพระองค์เองก็ทรงเลื่อมใสในพระอุปคุตยิ่งนักทรงเสด็จไปขอขมาโทษพระมหาเถระถึงที่วัดอย่างสำนึกผิด พระอุปคุตก็ให้อภัยแก่พระเจ้าอโศกมหาราชและแก่ช้างตกมันตัวนั้นด้วย เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นว่าพระอุปคุตมีฤทธานุภาพมาก จึงตรัสสั่งให้เตรียมการสมโภชพระสถูปเจดีย์ในทันที มีการปลูกสร้างปะรำพิธีที่ประดับประดาด้วยธงทิวประทีปและโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำตามแนวฝั่งของแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อถึงวันฤกษ์งามยามดี พระสงฆ์ขีณาสพและพระสงฆ์ปุถุชนตลอดจนพุทธศาสนิกชนในเมืองปาตลีบุตรและประชาชนทั่วทุกสารทิศก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่บริเวณงานพร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชาเพื่อร่วมพิธีการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในพระสถูปและมหาเจดีย์ทั้ง ๘๔๐๐๐ องค์ ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นเองพญามารที่มีชื่อว่า "พญาวัสสวดีมาร" ก็แทรกซึมเขามากับเขาด้วยเพื่อจะก่อความวุ่นวาย เมื่อแทรกซึมเข้ามาได้แล้ว พญามารก็บรรดาลให้เกิดลมพายุพัดเอาปะรำพิธีแทบหักแต่ก็ถูกพระอุปคุตช่วยเอาไว้ได้ บางครั้งพญามารก็แปลงร่างเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายทำให้คนมาในงานเกิดความหวาดกลัว พระอุปคุตก็กำราบเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะแปลงเป็นอะไรมาก็ตามพระอุปคุตก็กำราบปราบปรามเอาไว้ได้ทุกครั้ง เพื่อเป็นการตัดปัญหาเรื่องการก่อกวนของพญามาร พระอุปคุตท่านจึงเนรมิตร่างของหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วดึงเอาประคตเอวจากเอวของท่านมาผูกร่างหมาเน่าเอาไว้แล้วนำเอาไปคล้องคอของพญามารและท่านก็พูด เป็นวาจาสิทธิ์ว่า "ไม่ว่าใครก็ตามจะเอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารไม่ได้" แล้วก็ขับพญามารออกจากบริเวณงานในทันที ด้วยความอับอายพญามารก็รีบออกจากบริเวณงานในทันที พญามารพยายามแก้ร่างหมาเน่าออกจากร่างกายก็แก้ไม่ได้ เพราะเวลาที่พญามารเอามือจับที่ร่างหมาเน่าเพื่อจะแก้ออกจากคอนั้นก็เกิดมีไฟลุกไหม้คอขึ้นมาทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นพญามารก็ไปเที่ยวหาคนอื่นให้แก้ให้เป็นร้อยเป็นพันคน แม้กระทั่งเทวดาทั้งหลายเช่น พระอินร์ ท้าวยามาเทพบุตร ท้าวสันดุสิตเทพบุตร และท้าวสหบดีพรหมผู้ยิ่งใหญ่ในพรหมโลกก็แก้ไม่ได้ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็บอกแก่พญามารว่า"คนที่ จะแก้ได้ก็มีแต่ท่านพระอุปคุตคนเดียวเท่านั้นคนอื่นอย่าได้ไปเที่ยวหาให้ เสียเวลาเลย ท่านจงไปหาพระอุปคุตอ้อนวอนขอความเมตตากับท่านขอให้ท่านยกโทษให้ เมื่อท่านยกโทษให้แล้วท่านก็จะแก้ร่างหมาเน่าออกจากคอของคุณเองแหละ"
เมื่อ พญามารหมดที่พึ่งที่จะไปขอความช่วยเหลือแล้วก็จำต้องไปหาพระอุปคุตเพื่อขอ ความเมตตาจากท่าน พระอุปคุตท่านเห็นพญามารหมดพยศย่อมสยบราบคาบทุกอย่างมากล่าวว้ออนวอนขอความ เมตตาให้เอาร่างหมาเน่าออกจากคอ ก็ให้เกิดความเมตตาสงสาร แต่ก็ยังไม่ไว้ใจพญามารจึงได้นำเอาพญามารไปสู่ภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งแล้วนำเอา ร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารแล้วก็ทิ้งลงไปในเหวลึก จึงเนรมิตให้สายประคตเอวของท่านยาวออกแล้วเอาผูกคอพญามารมัดติดไว้กับภูเขา ลูกนั้นแล้วก็พูดกับพญามารว่า "เจ้าจงอยู่ที่นี้จนกว่าจะทำการสมโภชพระสถูปเจดีย์เสร็จสิ้นจึงจะมาปล่อย" เมื่อ งานสมโภชพระสถูปเจดีย์และพระบรมสารีริกธาตุเสร็จสิ้นลงแล้ว พระอุปคุตจึงมาหาพญามารโดยการแอบดูอยู่ห่างๆว่าพญามารหมดพยศแล้วหรือยัง
พญามารปราถนาพุทธภูมิ
ส่วนพญามารเมื่อถูกพระอุปคุตจับมัดไว้กับภูเขาเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็หมดพยศร้ายที่เกิดขึ้นในสันดานเหลือแต่กุศลจิตคือจิตที่เป็นบุญเป็นกุศลเท่านั้น พญามารได้มาจากทิพยวิมานในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดีมารับทุกขเวทนาในโลก มนุษย์เป็นเวลานานจึงได้หวนระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าและกล่าวคำปรารภออกมาว่า "พระพุทธองค์ บำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกับแสนมหากัปป์เพื่อเป็นที่พึ่งของสัตวโลก เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ในกาลก่อนเราได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆพระองค์ก็ไม่ทรงเอาโทษมิได้ตอบโต้โดยประการใดๆยังมีเมตตาแก่เราอีก แต่พระสาวกยุคสุดท้ายของพระองค์ที่มีชื่อว่า "อุปคุตองค์นี้" ไม่มีเมตตาแก่เราเลยแถมยังทรมานเราให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและให้ ได้รับความอับอายยิ่งนัก ถ้าบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมเอาไว้ในกาลก่อนยังคงเหลืออยู่ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตดังเช่นพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
การได้ตกระกำลำบากในครั้งนี้ทำให้พญามารเกิดความสำนึกผิค คิดเป็นกุศลอยากบำเพ็ญคุณงามความดีตามความเป็นจริงแล้วในอดีตชาติพญามารเคยมีจิตตั้งมั่นเพื่อจะบำเพ็ญเพียรให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ได้กระทำการขัดขวางพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "โคดม" เพราะความริษยาว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตนทั้งๆที่ตนเองก็บำเพ้ญบารมีมามากเหมือนกันและพฤติกรรมแต่ละครั้งก็มิได้ล่วงเกินที่เป็นกรรมหนักแต่ประการใด
พระอุปคุตได้เมื่อยินคำปรารภของพญามารเช่นนั้นก็รู้ว่าพญามารสิ้นพยศแล้วจึงได้เอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารปล่อยพญามารให้เป็นอิสระ และได้กล่าวคำขอโทษพญามารว่า "ที่อาตมากระทำแก่ท่านเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านระลึกนึกถึงพุทธภูมิที่ท่านปราถนาเอาไว้แล้วนั้นเองมิได้ประสงค์ร้ายต่อท่านแต่ประการใด" พญามารก็เข้าใจในความประสงค์ของพระอุปคุตมหาเถระ
พระอุปคุตพูดกับพญามารว่า "ท่านมีอายุยืนยาวได้เห็นพระพุทธเจ้าตั้งหลายพระองค์
ท่านพอจะจำรูปร่างของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมได้บ้างไหม?"
พญามารก็พูดกับพระมหาเถระว่า "กระผม จำรูปร่างของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมได้ดี กระผมเคยพาบริวารไปทวงเอาบัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งที่อยู่ใต้ต้นพระศรี มหาโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราในคราวที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา"
พระอุปคุตพูดกับพญามารว่า "อาตมาเป็นสาวกรุ่นหลังเกิดมายังไม่เคยเห็นรูปร่างของพระพทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร ตามตำรากล่าวไว้ว่าพระพุทธเจ้ามีรูปร่างงดงามยิ่งกว่าเทพยดา ข้อนี้จะจริงหรือไม่?"
พญามารตอบพระอุปคุตว่า "จริงอย่างนั้น พระคุณเจ้า"
พระอุปคุตก็กล่าวกับพญามารต่อไปว่า "อาตมาอยากเห็นจริงๆ ท่านพอจะเนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าให้อาตมาดูสักหน่อยได้ไหม?"
พญามารก็ตอบพระอุปคุตว่า "ได้ซิพระคุณเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าเวลากระผมเนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าให้พระคุณเจ้าดู พระคุณเจ้าจงอย่าได้หลงกราบไหว้กระผมเป็นเป็นเด็ดขาด ถ้าขืนทำเช่นนั้นมันจะทำให้กระผมบาปหนักจริงๆนะ พระคุณเจ้า"
พระอุปคุตตอบว่า "เอาเถอะ อาตมาจะไม่หลงกราบไหว้อย่างแน่นอน"
ในทันใดนั้นเองพญามารก็เนรมิตรูปร่างของพระพุทธเจ้าที่ตนเองได้เคยเห็นมา ซึ่งเป็นรูปร่างที่ประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะอันแสนจะงดงาม มีฉัพพรรณรังสี พุุ่งออกจากพระวรกายของพระองค์เป็นหกสีคือ:-
๑.สีเขียวเหมือนดอกอัญชัญ
๒.สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง
๓.สีแดงอ่อนๆเหมือนแสงพระอาทิตย์เริ่มขึ้นใหม่ๆ
๔.สีขาวเหมือนแผ่นเงิน
๕.สีเหลืองเหมือนดอกหงอนไก่
๖.สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีแต่ละสีสว่างไสวเจิดจ้าสดใสเป็นประกายประดุจดังสายรุ้งผู้ใดอยู่ในกระแส แห่งรัศมีแล้ว ผู้นั้นจะปลื้มปีติมีความสุขน้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่ได้ร้องไห้เพราะอำนาจของปีติ งดงามวิจิตรพิสดารยิ่งนักจนหาที่จะเปรียบมิได้ พระพุทธองค์เสด็จเยื้องพระวรกายด้วยพุทธลีลาอันแสนจะงดงามอยู่ตรงกลางซึ่งแวดล้อมไปด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา พระอุปคุตและพระเถระทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นได้เห็นรูปร่างพระวรกายอันสวยสดงดงามของ พระพุทธเจ้าแล้วก็เพ่งดูจนลืมตัวไม่สามารถจะอดกลั้นความปลื้มปีติเอาไว้ได้ น้ำ ตาจึงหลั่งไหลออกมาจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัวพระเถระทุุกองค์ก็กราบนมัสการ พระรูปเนรมิตนั้นอย่างลีมตัว พญามารเห็นพระเถระทั้งหลายกราบนมัสการตนเองเช่นนั้นจึงตกใจรีบกลับคืนร่างเดิมในทันที พญามารจึงกล่าวท้วงติงขึ้นว่า "พระคุณเจ้าทั้งหลายทำให้กระผมบาปหนักแล้ว"
ส่วนพระเถระทั้งหลายก็กล่าวเอาใจพญามารว่า "ดูก่อนพญามาร ท่านเนรมิตพระรูปกายของพระพุทธเจ้าให้พวกอาตมาได้เห็นและได้ทัศนาเช่นนี้ มันจะเป็นบุญมากกว่าเป็นบาป การกระทำสิ่งใดถ้ากระทำแล้วผู้อื่นเดือดร้อนสิ่งนั้นจึงเป็นบาป แต่ท่านได้เนรมิตพระรูปกายของพระพุทธเจ้าให้พวกอาตมาทั้งหลายได้เห็นจนพวกอาตมาต้องหลั่งไหลน้ำตาออกมาอย่างมีความสุขการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้" ฝ่ายพญามารเมื่อเห็นพระเถระทั้งหลายกล่าวออกมาเช่นนั้นก็ค่อยสบายใจ หลังจากนั้นพญามารก็กราบลาพระเถระทั้งหลายขึ้นสู่เมืองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดี นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพญามารก็มีจิตใจอ่อนน้อมเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาหมดสิ้นน้ำใจที่ริษยา สร้างสมบุญบารมีเพื่อพระพุทธภูมิที่ได้ตั้งปราถนาเอาไว้ต่อไป
ก่อนที่จะจบเรื่องประวัติของพระอุปคุตมหาเถรเจ้านี้ ข้าพเจ้าผู้เขียนอยากนำเอาเรื่องราวในอดีตชาติที่เกิดขึ้นมาแล้วในปางก่อน ของท่านมาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นการประดับความรู้เกี่ยวกับมหาเถระชื่อว่าอุปคุตองค์นี้ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จไปโปรดพญานาคชื่อว่า "อะปะลาละ" โปรดช่างปั้นหม้อ, หญิงจัณฑาล, และนายโคบาล" พอโปรดเสร็จเรียบร้อยแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับเมืองมถุรา
วันหนึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูก่อนอานนท์ ณ ที่เมืองมถุราแห่งนี้อีก ๑๐๐ ปี หลังตถาคตได้ปรินิมพานไปแล้วจะมีคนขายเครื่องหอมคนหนึ่งชื่อว่า "คุปะตะ" เขาจะมีลูกชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "อุปคุต" อุปคุตคนนี้นี่แหละจะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพระภิกษุทั้งหลายให้เอาชนะกิเลสจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เป็นจำนวนมากจนมีพระอรหันต์เกิดขึ้นเต็มถ้ำ ซึ่งกว้าง ๑๒ ศอกและยาว ๑๘ ศอก พระอรหันต์แต่ละรูปจะถือไม้ศาลากา ซึ่งยาว ๔ นิ้ว นอกจากนี้แล้วพระอุปคุตรูปนี้จะเป็นเอตะทัคคะในบรรดาของพระธรรมกถึกทั้งหลายในศาสนาของเรา
พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ต่อไปว่า "ดูก่อนอานนท์ เธอมองเห็นเส้นยาวเป็นสีคล้ำทางด้านสุดสายตาโน้นไหม?"
พระอานนท์กราบทูลว่า "เห็น พระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ตรงนั่นแหละ อานนท์ มันคือภูเขาอุรุมมุณฑะ อีก ๑๐๐ ปี หลังจากตถาคตปรินิพพานไปแล้วจะมีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า "สาณะกะวาสิน จะไปสร้างวัดขึ้นที่ภูเขาลูกนั้นและจะเป็นผู้บวชให้แก่อุปคุต" นอกจากนี้ที่เมืองมถุรานี้จะมีนายช่าง ๒ คน ซึ่งเป็นพี่น้องกันคนพี่ชื่อว่า "นาฏะ" คนน้องชื่อว่า "ภะฏะ" ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพร่วมในการสร้างวัดขึ้นที่ภูเขาอุรุมมุณฑะนี้และวัดนี้ก็จะมีชื่อว่า "นะฏะภะฏิกะ"
วัดนี้จะเป็นอรัญญิกาวาสที่วิเศษที่สุดทั้งเตียงและตั่งก็เหมาะสมสำหรับผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
พระอานนท์จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิเศษแท้ที่พระอุปคุตจะได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชน
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูกร อานนท์ ไม่แต่เวลานี้เท่านั้นนะ ที่พระอุปคุตได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชน
พระอานนท์กราบทูลว่า "เห็น พระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ตรงนั่นแหละ อานนท์ มันคือภูเขาอุรุมมุณฑะ อีก ๑๐๐ ปี หลังจากตถาคตปรินิพพานไปแล้วจะมีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า "สาณะกะวาสิน จะไปสร้างวัดขึ้นที่ภูเขาลูกนั้นและจะเป็นผู้บวชให้แก่อุปคุต" นอกจากนี้ที่เมืองมถุรานี้จะมีนายช่าง ๒ คน ซึ่งเป็นพี่น้องกันคนพี่ชื่อว่า "นาฏะ" คนน้องชื่อว่า "ภะฏะ" ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพร่วมในการสร้างวัดขึ้นที่ภูเขาอุรุมมุณฑะนี้และวัดนี้ก็จะมีชื่อว่า "นะฏะภะฏิกะ"
วัดนี้จะเป็นอรัญญิกาวาสที่วิเศษที่สุดทั้งเตียงและตั่งก็เหมาะสมสำหรับผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
พระอานนท์จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิเศษแท้ที่พระอุปคุตจะได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชน
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูกร อานนท์ ไม่แต่เวลานี้เท่านั้นนะ ที่พระอุปคุตได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชน
แม้ในอดีตกาลพระอุปคุตก็เคยได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชนมาแล้ว"
ที่มา: https://kobamulet.com/news_view.php?id=19
#By_คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ที่: #www.baankhunyai.com
-----------------------
ดูดวงติดต่อ Line : baankunyai
ที่มา: https://kobamulet.com/news_view.php?id=19
#By_คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ที่: #www.baankhunyai.com
-----------------------
ดูดวงติดต่อ Line : baankunyai