เรียนโหราศาสตร์

     

             เรียนโหราศาสตร์  โดยอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ

ย่างเข้าเดือน 6 ข้างแรม ฝนต้นฤดูตกรำมาแต่เช้ามือเรื่อยมากระทั่งเช้ายิ่งกลับลงหนาเม็ดขึ้นทุกที หมอเถาถูกตบประตูปลุกจากที่นอนขณะกำลังหลับสบายสุขารมย์ ผู้ปลุกคือเณรชั้ว และครูก้อนซึ่งตากฝนมาเปียกโชกทั้งคู่เณรชั้วเป้นคนรายงานที่รต้องกรำฝนมาตามครูก้อนและหมอเถาแต่เช้า เพราะหลวงตาไม่สบายมากสั่งให้มาตามด่วน ครั้นซักไซร้ไล่เลียงอาการป่วยของหลวงตา เณรก็บอกว่า “หลวงตานอนแบบลุกไม่ได้ ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาต ตายไปครึ่งตัวแล้ว”

หมอเถาตระหนกตกใจสุดขีดในชีวิต หวลกลับเข้าห้องครู่เดียวก็หอบห่อผ้าขาวม้าห่อใหญ่จูงมือเณรชั้วฝ่าฝนแทบจะวิ่งและครูก้อนตามหลังติดมุ่งมาวัด แม้สายฝนเช้าจะชะโลมลูบหน้าตลอดกายจนเปียกโชกหนาวเย็น ทั้งหมอเถา ครูก้อนและเณรชั้ว ก็มิรู้สึกเพราะในหัวใจกำลังร้อนระอุด้วยความทุกข์และห่องใยในอาการป่วยของหลวงตาผู้ชรา

พออย่างขึ้นกุฏิยิ่งใจหาย ระเบียบหน้าห้องที่หลวงตาเคยนั่งนอนเล่นเป็นนิจสินว่างเปล่าหรุตูห้องกุฏิเปิดแง้มๆไว้
ทั้งหมอเถาและครูก้อนก้าวพรวดขึ้นระเบียง น้ำฝนหยดตามชายเสื้อกางเกงเปียกเป็นทางตามพื้น เณรชั้วค่อยๆเปิดประตูกุฏิแง้มเข้าไป
หลวงตาชื้นนอนลืมตาอยู่บนอาสนะกลางพื้นจนกระทั่งสองศิษย์ก้าวข้ามธรณีเข้ามาจนใกล้และนั่งลง ท่านก็ยังนิ่งพิจารณาเหมือนแปลกใจแต่พอขยับปากจะพูดก็ถูกหมอเถาชิงถามขึ้นก่อนว่า “เป็นอย่างไรบ้างคะรับหลวงตา”

เณรชั้วเข้าไปกอดเท้าหลวงตาไว้ แล้วร้องไห้กระซิกๆทั้งที่โตเกินเด็กไปแล้ว ทำให้หมอเถากับครูก้อนใจเสีย น้ำตาคลอคอหอยตีบตันพูดอะไรไม่ออกไปด้วย ได้แต่ยกมือปาดน้ำตาที่เปียกปนน้ำฝนอยู่บนใบหน้า
“เฮ้ย…มันเกิดอะไรกันว๊ะ”  หลวงตาคนป่วยหนักร้องถามเต็มเสียง  “อยู่ๆมากอดแข้งกอดขาร้องไห้ร้องห่มยังกับวาข้ากำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้”
หมอเถาสะอื้นฮัก “เณรชั้วไปบอกว่า หลวงตาตายไปครึ่งตัวแล้ว”
“ปัด…แล้ว”  เสียงหลวงตาร้องถอนฉุนเต็มที่ และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเท้าที่ว่าเป้นอัมพาตของหลวงตาวัดผึงออกไปอีท่าไรเสียงดังพั่บ เห็นแต่เณรชั้วที่เกาะเท้าอยู่หัวขมำกลิ้งไม่เป็นท่า
ทั้งหมอเถาและครูก้อนทั้งตกใจและแปลกใจยิ่งขึ้นที่หลวงตาลุกขึ้นนั่ง แม้จะฝืนกิริยาลำบากอยู่บ้างแต่ก็ดูไม่มีริ้วรอยแห่งอาการอาพาธหนักอย่างที่รู้และหลวงตาชี้นิ้วกราดไปตามพื้น
“ดูรึ กุฏิข้าเปียกหมดไปๆเอาผ้าอาบเก่าๆของข้าผลัดนุ่งแล้วเดี๋ยวเข้ามาพูดกัน”
หมอเถาและครูก้อนเห็นกิริยาอาการของหลวงตาไม่เป็นอย่างที่วิตกค่อยสบายใจ ถอยออกไปปนอกกุฏิ ข้างเณรชั้วเดินหลบห่างเท้าหลวงตาตามหลังออกไปด้วย ทั้งเหลียวหน้าเหลียวหลังหวาดๆว่าจะถูกซ้ำเข้าอีก
หมอเถาและครูก้อนออกไปได้สักครู่ก็กลับเข้ามา นุ่งห่มรุ่มร่ามทั้งคู่ คือนุ่งผ้าอาบเก่าๆที่หลวงตาไม่ใช้แล้ว ยังแถมห่มแก้หนาวมาอีกคนละผืน  พอย่างเข้ากุฏิ หลวงตาคนป่วยหนักก็หัวเราะหึเมื่อเห็นสารรูปศิษย์แต่งตัว
“บ๊ะ…แต่งเข้าลักษณะชีปะขาวทั้งคู่”
ครูก้อนเข้ามานั่งอยู่ข้างๆหลวงตา ส่วนหมอเถาถือผ้าขั้ริ้วติดมือมาด้วยก็เช้ดน้ำที่เปียกพื้นจนแห้งผาก พอคว้าห่อผ้าที่ตนเตรียมมาจากบ้านวางลืมไว้เมื่อครู่จะวางหลบไป
หลวงตาก็ทักขึ้น “ห่ออะไรน่ะหมอเถา”
หมอเถาอึกอักอยู่สักครู่ “ห่อร่วมยาคะรับ เตรียมๆมาเผื่อฉุกเฉินจะได้ใช้”
“อ้อ นึกว้าเตรียมด้ายตราสังมามัดศพฉันเสียอีก ไหนแก้ดูทีเร๊อะเตรียมหยูกยาอะไรมาบ้าง พ่อหมอจ๋า”
หมอเถาแก้ห่อผ้าขาวม้าหยิบออกมาทีละสิ่งและอธิบายสพรรพคุณ “นี่น้ำมันไพลผสมการะบูนทาแก้ขัดลม ขัดเส้น พวกอัมพรึกษอัมพาตอันนี้ลูกประคบอังไฟนวดให้ลมในเส้นมันเดินเป็นปกติ นี่ยาต้มถ่ายเส้นเอ็นดีนัก ผมเตรียมมาเพราะทราบว่าหลวงตาขาตาย”
“เออช่างรอบคอบดีแท้หมอเถา ขอบใจ” หลวงตายันตัวนั่งให้ถนัด  “ไม่ถึงกับป่วยหนักอะไรหรอก เมื่อคืนมันนอนไม่หลับกระทั่งดึกใจคอมันฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องทุกข์เรื่องสุขของสัตว์โลกผู้มีการมที่มาดูหมดกันมากมายก็เลยหาทางสงบเข้านั่งปฏิบัติอาณาปานสติ กำหนดลมหายใจระงับจิตให้มันหยุดไม่ได้ปฏิบัติมาช้านาน จิตมันพยศเหมือนม้าห่างฝึก เลยนั่งนานมาเกือบค่อนรุ่ง ข้างขาขัดเลือดขัดลม    เป็นตะคริว พอหายตะคริวก็หมอเรี่ยวแรงขาไปเลย ประจวบกับง่วงๆก็เลยนอนหลับสักตื่น   เรียกเณรมาสั่ง เณรชั้วมันเลยเข้าใจว่าจะสิ้นลมเอาไปเลย”
หมอเถาฟังอาการแล้วไม่หนักใจ “หลวงตาอายุมากแล้วเลือดลมมันเดินตามเส้นไม่ถนัดนวดเปิดลมสักหน่อยก็คงจะพอทุเลาคะรับ”
“ก็นั่นน่ะซี ถึงสั่งเณรชั้วไปตามมา ก็จะให้นวดนี่แหละ แล้วเช้านี้มันเหงาๆว่างๆอยู่ก็อยากคุยกัน
ครูก้อนบ่น “เณรชั้วบอกข่าวทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น ผมน่ะวิ่งตามฝนมาน้ำตาไหลมาตลอดทางใจมันหายบอกไม่ถูก”
หมอเถาคลานเข้าจับลูบคลำขาหลวงตา   กดตามประตูลมประตูเลือดตามความรู้ที่เล่าเรียนมา ทั้งกดเส้นคลายเส้นครบกระบวนการนวดทุกสถาน หลวงตาสูดปากร้อยโอย สลับกับออกปากชมว่ามันร้อนวูบวาบสบายดีแท้ๆ
สองศิษย์อาจารย์นวดไปคุยกันไปหลายเรื่องหลายราวทั่งเรื่องวัดเรื่องบ้านลงท้ายก็หวลกลับมาพูดถึงเรื่องโหราศาสตร์ ครูก้อนปรารภว่า “ครูสมศักดิ์แกรู้ข่าวเรื่องสามีแม่จำรัสถูกรถยนต์ชนตาย แกเสียใจมากและยกย่องหลวงตาไม่ขาดปากว่าดูได้ละเอียดถี่ถ้วน อยากจะมามอบตัวเป็นศิษย์ ขอศึกษาเล่าเรียนด้วยขอรับ”
หลวงตานิ่งขรึม  ฟังอยู่ครู่หนึ่ง  “อันความนั้นอาตมาไม่หวงแหนหรอก แต่การเป็นศิษย์อาจารย์กันต้องสังเสวนากันไปนานๆสักหน่อย เพื่อเรียนรู้นิสัยซึ่งกันและกัน ศิษย์ก็จะได้รู้น้ำใจอาจารย์และอาจารย์ก็จะได้เรียนรู้นิสัยศิษย์ว่าจะไปกันได้ตลอดหรือไม่ จู่ๆเข้ามาเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไปวันข้างหน้าเกิดขัดใจกัน อาจารย์นินทาศิษย์ ศิษย์นินทาอาจารย์เสื่อมเสียด้วยกันทั้งคู่”
“อันที่จริง ครูสมศักดิ์แกก็เป็นคนดี ผมรู้จักแกมาหลายปีแล้ว”  ครูก้อนพยายามสนับสนุน
“เออ อ้ายคนดีนี่แหละสำคัญนักละ  เพราะต่างคนต่างถือดีคบกันไม่ยืดก็มี  ต่างคนไม่ยอมให้ใครดีกว่ามันก็คบกันไม่ยืดอีก มันเรื่องของคนดีๆมีความดีทั้งนั้น”
หมอเถาเห็นด้วยกับคติของหลวงตา  “จริงครับ คนดี ถ้าอวดดีและถือดี ก็จะกลายเป็นคนไม่ดีไป”
ครูก้อนเห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา  “พูดถึงการเล่าเรียนโหราศาสตร์ ขณะนี้ไม่ว่าพ่อค้า  ข้าราชการ  ผู้ลากมากดี ต่างสนใจเรียนรู้กันมาก แต่เรียนๆไปมักไปท้อถอยเสียครึ่งๆกลางๆไม่ทันได้ผลกันเสียเป็นส่วนมากไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด  ร้อยคนจะได้ผลสักคนก็ทั้งยาก”
หลวงตาชื้นนิ่งตรึกตรองพูดช้าๆเหมือนพูดไปคิดไป  การเล่าเรียนโหราศาสตร์ทุกวันนี้ มีอยู่หลายแบบหลายอย่างไม่เหมือนแบบอย่างเก่าๆเขา คนสมัยใหม่นี้เขาเล่าเรียนกันโดยซื้อหาหนังสือตำรับตำรามาเล่าเรียนเอาเองก็มาก  ส่วนใหญ่จะรู้แต่เนื้อหา หลักเกณฑ์ภาคต้นๆอันเป็นพื้นฐานของโหราศาสตร์เท่านนั้น ส่วนความรู้ภาคสมบูรณ์คือ การพยากรณ์โดยเฉพาะพยากรณ์จร อันเป็นตอนสำคัญแทบจะไม่มีโอกาส แม้ตำรับตำราก็แทบจะไม่มีพิมพ์ขาย  แบบโบราณแท้ๆเขาต้องเรียนกันแบบ “มุขปาฐะ”คือ เรียนกันต่อหน้าต่อตาทั้งศิษย์และอาจารย์จึงจะเรียนรู้ได้จริงๆเพราะ การสอนแบบนี้เขาเรียก “ฝึกสอน” คือ สอนทั้งเกณฑ์และฝึกการใช้กฎเกณฑ์ไปพร้อมกัน  บางครูอาจารย์ไม่ยอมให้จดเสียซ้ำให้จำเอาแต่อย่างเดียว เพราะกลัวว่าความรู้ที่สอนมันไปอยู่ในสมุดหมด”
หมอเถาฟังเพลินตั้งหน้าตั้งตากดเอาๆแรงจนหลวงตาร้องโอยจึงได้สติขออภัย
หลวงตาอธิบายต่อ  “อันว่าดาวมันก็มีอยู่เพียง 10 ดวง เรือนราศีมันก็มีอยู่เพียง 12 เรือน แต่เรื่องราวของมนุษย์มันยุ่งยากซับซ้อนร้อยแปดพันประการ การจะพยากรณ์เขาได้ถูกต้องแนบเนียน เขียนเป็นตำรับตำราก็ต้องเขียนพิมพ์กันสูงท่วมหัว ส่วนการเรียนจากปากอาจารย์ย่อมจะทำได้ดีกว่า เมื่อศิษย์ไม่เข้าใจตอนใด อาจารย์ก็จะขยายความทั้งอุปมาอุปมัย อาถาธิบายจนรู้ได้แจ้งชัด สุภาษิตจีนเขาว่า  “อ่านตำรา 10 เล่ม ยังไม่เท่ากับสนทนากับผู้รู้เพียงท่านเดียว”
“จริงทีเดียวคะรับ” หมอเถาคอสองหลวงตา ผสมโรงชักตัวอย่าง “ตำรับตำราโหราศาสตร์เมื่อแรกๆก็ต่างคนต่างลอกเลียนคัมภีร์ของเก่ามาขายกัน แต่ต่อๆมาบัดนี้ตำรับตำราต่างลอกกันเอง จนไม่รู้ว่าใครลอกใครอ่านแล้ว วนเวียน  เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกฎ”
หลวงตาจุปากห้าม  “อย่าไปตำหนิเขาหมอเถา จะกลายเป็นลบหลู่ผู้อื่นไม่ดี ตำราย่อมเป็นได้แต่เพียงแค่ตำรา คือสอนให้คนรู้ได้แต่ไม่อาจสอนให้คนสามารถได้”
“ถ้าเช่นนั้น จะเรียนความสามารถได้จากอะไรเล่าขอรับ”  ครูก้อนรีบซักเพราะอยากรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตน
“ก็วิธีที่อาตมาสอนครูก้อนกะหมอเถาต่อหน้าต่อตาแบบเก่าๆเขานั่นแหละ แต่อาจารย์ที่สอนให้สามารถดีที่สุดก็คือการฝึกฝนของตนเองนั่นแหละ  หมั่นดูดวงของจริงพยากรณ์ของจริงให้มาก จะเกิดความรู้ความชำนาญ เมื่อนั้นเหละความรู้ความชำนาญจากของจริงๆจะสอนให้เรารู้ว่ากฎเกณฑ์ตามตำราข้อใดควรละเสีย กฎเกณฑ์ข้อใดควรยึดมั่นไว้ ตราบใดยังมัวขัดมั่นกฎเกณฑ์ตามตำราเอาไว้มากมายเป็นบ้าหอบฟางจะทายเขาไม่ออก”
“เขาว่ากันว่า คนจะเรียนโหราศาสตร์ได้ดีต้องมีดวงชะตาให้ผลอยู่ด้วย ข้อนี้เป็นความจริงไม๊ขอรับ”
“ว๊ะ วันนี้ครูก้อนช่างซักจริง”  หลวงตาชื้นหัวเราะชอบใจ “ไม่ต้องไปดูดวงชะตาซึ่งเป็นของดูยาก ดูมันของง่ายๆทางธรรมแหละรู้ชัดๆ ดีกว่า คนที่จะเรียนรู้สิ่งใดๆถ้าขาดอิทธิบาท 4 เรียนอะไรก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น
ข้อ 1 ก็คือ ฉันทะ คือมีความพอใจตั้งใจจริงในปฏิปทาที่ตนเล่าเรียนสม่ำเสมอ
ข้อ 2 ก็คือ วิริยะ  มีความพากเพียรพยายามไม่ท้อถอย
ข้อ 3  คือ  จิตตะ  สนใจเอาใจใส่ทุ่มเทจิตใจในสิ่งนั้นเป็นเนืองนิจ
ข้อ 4 คือ วิมังสา   การใคร่ครวญพิจารณาในข้อวัตรนั้นๆให้รู้เหตุรู้ผลเห็นแจ้ง
กฎสี่ข้อนี้ท่านเรียก “อิทธิบาท” แปลว่า “เข้าถึงความสำเร็จ”
 
เณรชั้วยกปั้นน้ำชาเข้ามาดูท่ายังหวาดลูกดีดเมื่อเช้า พยายามเลี่ยงปลายเท้าหลวงตาเข้ามาข้างๆ คุกเข่าประเคน หลวงตารับมารินดื่มแก้คอแห้งถึงสองถ้วยซ้อน และนิ่งนึกอยู่พักหนึ่ง
“มีเรื่องเกี่ยวกับอานุภาพแห่งอิทธิบาท 4 อยู่เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องจริงมีตัวมีตนอยู่ คนเก่าๆท่านเล่าสูกันฟังว่าในสมัยพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 มีครูดนตรีอยู่ท่านหนึ่งมีฝีมือเป็นเอกอยู่ในกรุงมีลูกศิษย์ลูกหามาฝากตัวเป็นอันมาก  แม้แต่จ้าวนายในราชนิกูล ครูดนตรีท่านมีบุตรชายอยู่คนหนึ่งเป็นคนมีกรรม จักษุทั้งสองข้างบอดสนิทอายุเพิ่งจะย่าง 10 ขวบเศษ เพลาศิษย์มาเรียนต่อเพลงซ้อมเพลงท่านก็ไล่ลูกชายให้ลงมาเล่นใต้ถุนเรือนเสียเสมอทุกครั้ง เป็นเช่นนี้ตลอดมาหลายปี กระทั่งอยู่มาคราวหนึ่งเป็นวันไหว้ครูซึ่งจะเป็นวันครอบครูแก่ศิษย์ผู้จบการเรียนแล้ว คอนนั้นยังเช้าอยู่บนเรือนว่างผู้คนมีแต่เครื่องดนตรีวางจัดไว้รับพิธี ตัวท่านครูดนตรีลงมาดูการงานอยู่ในโรงครัวหลังบ้าน
เหมือนเกิดอัศจรรย์ เสียงฆ้องวงบนเรือนลั่นบันลือบรรเลงเป็นเพลงกระหึ่มท่วงทำนองไพเราะเพราะนักหนา ได้ยินกันทั่วบริเวณบ้าน ท่านครูได้ยินถนัด ขนลุกซู่ตัวชา จะฟังเป็นผีมือศิษย์เอกคนใดคนหนึ่งที่สอนไว้ก็ผิดที เพราะมองไม่เห็นตัวว่าจะมีใครสามารถมีฝีมือถึงขั้นนี้จะว่าเป็นผู้อื่นก็มิใช่เพราะทางเล่นเป็นทางเดียวของท่าน ครูที่สอนศิษย์ไว้ทั้งนั้น สำเนียงฆ้องวงนั้น ทั้งตีกดตีเปิดเสียงทุ้ม   กังวาลชัดทุกไม้ ทั้งลูกล้อลูกขัดพริ้วพราวครบเครื่อง จะมีคนฝีมือถึงเช่นนี้ได้ก็คือตัวท่านครูคนเดียวเท่านั้น”
ท่านครูก้าวแทบจะวิ่งขึ้นเรือน พอล่วงเข้าประตูเรือน ก็เห็นผู้บรรเลงนั่งองอาจอยู่กลางวงฆ้อง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนถูกผีหลอก ท่านสงบใจฟังจนเพลงจบท่อน ก็ถลาเข้ากอดหนุ่มผู้บรรเลงไว้แน่นเรียกได้คำเดียวว่า “ลูกพ่อ” จูบแก้มซ้ายขวาจนน้ำตาความตื้นตันเปื้อนสองแก้มเจ้าหนุ่มลูกชาย  ผู้ตาบอดทั้งสองข้างนั้นเอง
ครั้นซักไซร้ไล่เลียงเอาความ ลูกชายก็เล่าว่าทุกครั้งที่พ่อไล่ลงมาเล่นใต้ถุนบ้าน ก็ไม่รู้จะเล่นอะไรเพราะตามองอะไรไม่เห็น ได้แต่นั่งฟังเสียงพ่อต่อเพลงสองศิษย์อยู่บนเรือนทุกวันเป็นเดือนเป็นปี จนจดจำทำนองขึ้นใจ เมื่อรำคาญอยู่เฉยๆ จึงไปเก็บกะลามะพร้าวมาวางแทนลูกฆ้อง ขณะพ่อสอนไปก็ตีตามไปทุกวัน ปีแล้วปีเล่าจนแม่นยำขึ้นใจ ตกตอนกลางคืนพ่อหลับแล้วก็คลานออกมาแอบเข้าวงฆ้องเอามือจับต้องใช้นิ้วเคาะเบาๆ  ซ้อมเพลง จนแคล่วคล่องชำนาญไม่ติดขัด จนแทบจะมองเห็นลูกฆ้องทุกลูก  มาวันนี้เป็นวันไหว้ครูจึงแสดงฝีมือหวังให้พ่อครอบให้เช่นศิษย์อื่นๆ เขาบ้าง
บุตรชายตาบอดของท่านครูผู้นี้ชื่อทั่ว  ต่อมาเป็นนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วกรุงสยาม ได้ตำแหน่งในกรมมหรสพหลวงเป็นจางวางทั่ว และมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองเช่นเดียวกับท่านครูผู้พ่อ ดูเหมือนชีวิตท่านจะอยู่มาจนกระทั่งสงครามญี่ปุ่นแต่ชื่อเสียงท่านยังกึกก้องมาจนทุกวันนี้
หมอเถาหยุดนวดไปเมื่อไร ทั้งผู้นวดและเจ้าของขาก็ไม่รู้สึก ส่วนครูก้อนนั่งนิ่งมองปากผู้เล่า มีความรู้สึกซาบชึ้งต่ออานุภาพแห่งอิทธิบาท 4 ตามเรื่องจริงที่หลวงตาเล่า
หมอเถาได้ฟังเรื่องเก่าๆ ที่น่าตื่นใจ ก็กระหายจะฟังอีก จึงยิ้มประจบ “ผมอยากฟังเรื่องทำนองนี้อีกคะรับหลวงตา ได้ทั้งความรู้และสาระประโยชน์
“เออ พอกันทีว่ะ”  หลวงตาหัวร่อรู้ทันความคิดศิษย์  “อีตอนแรกน่ะเป็นตะคริวขาอีตอนนี้แหละจะเป็นตะคริวปากแทน”


ที่มา : https://www.horawej.com/
----------------------------------------

#คุณยายกลิ่นโสม
#คุณยายเล่าเรื่องจากเรือนดาว
#โหราศาสตร์ไทยเรียนง่ายกว่าที่คิด
#เรียนโหราศาสตร์ไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#อ่านดวงไทยสบายสบาย ตามสไตล์คุณยายกลิ่นโสม
#โหราศาสตร์ไทยเรียนด้วยตนเองฉบับคุณยายกลิ่นโสม   
#เรียนโหราศาสตร์ไทยฟรี ที่เวปนี้นะ:: htthttp://www.baankhunyai.com
  --------------------  
 
Visitors: 173,199