ธาตุวินิจฉัยสังเขป

      ธาตุวินิจฉัย

การเล่าเรียนสมัยก่อน ไม่มีเครื่องช่วยจำ นอกจากความตั้งใจ สติ ปัญญา สมาธิ สัญญากำหนดจดจำไว้ พอเรียนเสร็จ ถึงมีเวลามาทบทวนและจดบันทึก

สมัยนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีหนังสือตำหรับตำรามากมายเหมือนสมัยนี้ เรื่องแรกที่เรียนคือ สุริยยาตร์ มหาทักษา และจักรทีปนี (ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ก็เหมือนที่สมัยนี้เรียนกัน ความที่ตำราแต่ละเล่มมีเนื้อหาไม่มากนัก มีตำราไม่เยอะ นับเป็นข้อดี ทำให้ไม่สับสน และมีความชัดเจน

เรียนสุริยยาตร์แล้ว พอกลางคืน ก็เอาเสื่อผืนนึง หมอนใบนึง มานอนดูดาวที่ท่าน้ำ เริ่มจากราศีทั้ง ๑๒ ฤกษ์ทั้ง ๒๗ พระ ๒ ฯลฯ ไม่มีกล้องส่องดูดาว ไม่มีตำราดาราศาสตร์ มีแต่ภาพเก่าที่บันทึกราศีและฤกษ์ไว้สอบเทียบเท่านั้น

ดูไปนานเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่สนุกมาก พอดูไปนานเข้า เราจะพบว่า ราศีและหมู่ดาวฤกษ์ เคลื่อนที่ไปแบบไม่แตกกลุ่มกันเลย จึงเข้าใจได้ว่า แท้จริงโลกหมุนรอบตัวเอง บางทีดูไปหลับไป จนเริ่มสว่าง ที่ริมแม่น้ำมีต้นกอจากมากมาย แสงเงินแสงทองมาก่อน กลุ่มราศีจับอยู่ที่ขอบฟ้า สักพักพระอาทิตย์ก็ขึ้น จึงเข้าใจว่า ลักขณาเป็นแบบนี้นี่เอง

สักพักเห็นพระ พายเรือบิณฑบาตรมาแต่ไกล ใส่บาตรเสร็จแล้ว ก็นั่งคอยคนพายเรือขายบะหมี่ นั่งทานที่ท่าน้ำ ชีวิตแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

เรื่องบางเรื่อง ครูเขียนมาให้อ่าน อ่านเสร็จ ครูถามว่าจำได้หรือยัง ก็บอกครูว่าจำได้แล้ว แล้วครูก็บอกให้เผาไฟทิ้งเสีย ไม่มีการบอกครั้งที่สอง ตอนนั้นตกใจ คิดว่าถ้าจำไม่ได้จะทำยังไง

มีเรื่องหนึ่งที่คนเรียนควรจดจำไว้คือ เมื่อความรู้เกิดขึ้นมา ไม่เลือกกาลเวลา บางทีระลึกได้ ตื่นขึ้นมากลางดึก ต้องรีบจดบันทึกไว้ เสร็จแล้วจึงนอนต่อ เพราะฉะนั้น หาสมุดจนบันทึกไว้สักเล่มหนึ่ง ความรู้ใดที่เกิดขึ้นให้จดบันทึกหัวข้อไว้ก่อนกันลืม

เล่าเรียนเรื่องใด จับเรื่องนั้นให้มั่น อย่าปล่อย ถึงจะรู้บ้างไม่รู้บ้างก็ห้ามปล่อย พอถึงจุด ๆ หนึ่งขององค์ความรู้ มันจะเปิดเส้นทางเดินให้เห็นเอง เหมือนเราเอาไม้สองอันมาสีกัน ครูสอนว่ามันจะเกิดเป็นไฟ นั่งสีตั้งนานก็ไม่เห็นมีไฟสักที แล้วก็วางมือไปทำโน่นทำนี่ แล้วมาสีใหม่ แล้วก็หยุด นั่งบ่นว่าไม่จริงเหมือนที่ครูสอน แท้จริงเราทำไม่ต่อเนื่องไฟจึงไม่ปรากฏ การเล่าเรียนก็เหมือนกัน จับสิ่งใดจับให้มั่นอย่าปล่อย เมื่อมันเริ่มมีชีวิต มันจะเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของมันเองโดยที่เราไม่ต้องบังคับ

สิ่งเหล่านี้เกิดจากประสพการณ์ที่ผ่านมา เกษตร ปรเกษตร มหาจักร์ ราชาโชค จตุภิสมหาภิส หลักไชยพระนักษัตร์ คู่มิตร คู่ธาตุ ฯลฯ ถ้าจับแล้วอย่าปล่อย วันใดสิ่งที่เราจับเริ่มเคลื่อนไหว เราจะรู้ถึงความมีชีวิตของสิ่งเหล่านั้น

มีธรรมชาติคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องแสดงการมีอยู่ของมหาทักษา แท้จริงมหาทักษาคือเรื่องของธาตุโดยตรง ธาตุแปลว่า ทรงไว้ คือทรงไว้ซึ่งสภาพของตน แบ่งออกเป็น ๒ ชุด คือ ธาตุเบา ๒๑๖๘ กำลัง ๕๔ และ ธาตุหนัก ๓๔๗๕ กำลัง ๕๔ ทั้ง ๒ มีกำลังธาตุเสมอกัน เราเรียนแบบนี้อาจมองไม่เห็นภาพ ให้นึกดังนี้

เหมือนกลางวัน ธาตุเบา ๒๑๖๘ ลอยขึ้นเบื้องบน มีลักษณะร้อน กลางคืน ธาตุหนัก ๓๔๗๕ ลอยต่ำ มีลักษณะเย็น ถ้าเราเฉพาะเจาะจงให้แคบลง เช่นตอนกลางคืน อากาศเย็น ธาตุหนักลอยลงต่ำ เมื่อความร้อนลดลงจนถึงจุดหนึ่ง เกิดหยดน้ำบนใบไม้ หญ้าข้างทาง ตำแหน่งนั้น คือคู่สมพล ๔๗ พระ ๗ บังเกิดเป็น ไอ พระ ๖ กลายเป็น พระ ๔ มีสภาพเป็นหยดน้ำ ก็เหมือนคนเรา เมื่อเวลามีความทุกข์ จนต้องร้องไห้ หรือดีใจจนต้องร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติยินดี จะเห็นว่า พระ ๗ อยู่ทั้งทุกข์และสุข แต่พระ ๗ ไม่ใช่ทุกข์และสุข แต่ พระ ๗ คือการบีบคั้น กดดัน เป็นต้น เพราะ ๗ เป็นเพียงเหตุปัจจัย

เราเรียนธาตุทั้ง ๔ คือ ดินน้ำไฟลม หรือ ดินน้ำลมไฟ แต่สิ่งสำคัญที่เรามักลืมไป คืออากาศธาตุ ถ้าไม่มีอากาศธาตุ ธาตุก็ไม่มีที่ตั้ง เหมือนถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ คนสัตว์ก็ไม่มีชีวิต มหาทักษา สอนให้รู้ถึงการมีอยู่ของอากาศธาตุ เช่น เรานำกระดาษมาแผ่นหนึ่ง แล้วฉีกออก เราจะเห็นว่า ฉีกขาดง่ายมาก เพราะอะไร เพราะอากาศธาตุมีมาก แต่ถ้าเราเอาพลาสติกมาฉีกแบบเดียวกัน เราจะพบว่าฉีกไม่ขาด เพราะอะไร เพราะอากาศธาตุมีน้อย การเล่าเรียนเช่นนี้สอนให้เราเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจเหตุผลของการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ แสดงโดยสังเขป ฯ

วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ 

 

ขอบคุณที่มา : FB : E-Library P. Sitti 

Visitors: 232,708