ธรรมซาติของกาลกรรณี
สาม_ธรรมชาติของกาลกรรณี
โดยทั่วไปแล้ว ดาวผู้บริหารชีวิตดวงสำคัญคือดาวกาลกรรณี ท่านจะรังเกียจ ว่าดีหรือชั่วก็ตาม แต่ดาวนี้ก็ติดตามท่านมาแต่แรกเกิด เพราะเป็นจอมบงการความสำนึกผิดชอบชั่วดีแก่ท่าน เป็นผู้คุมคนสำคัญ ที่จะคอยหันมุมชีวิตท่านให้เข้าแนวลิขิตอย่างหลีกเลี้ยงไม่ค่อยได้ ไม่ว่าดาวกาลกรรณีดวงนั้นจะเป็นดาวศุภเคราะห์หรือบาปเศราะห์ก็ตาม ย่อมเป็นผู้มีอำนาจส่งเสริมทำลายท่านได้ทุกดวงเว้นแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น
ตามชาติทักษานั้นดาวกาลกรรณีเป็นอันดับ ๘ สุดท้าย แต่ที่แท้จริงใกล้ชิดท่านมากกว่าดาวดวงอื่น เท่ากับสมองหรือหัวใจของท่านที่เดียว เป็นจุดชะนวน เป็นที่รวมพลังงานทั้งหมดของร่างกายและชีวิต เป็นจุดอ่อนปมด้อยเป็นแรงกดดัน เป็นความสำคัญทั้งรู้ชิวิตที่จะเป็น ให้, ทำลาย, อุบัติขึ้นหรือเสื่อมลง..เหตุที่กล่าวนามเป็นสุดท้าย ก็เบ็นความลำเอียงของปุถุชน ย่อมรักอยากได้เเต่เฉพาะครอบครัวเเละสิ่งที่ตนเห็นว่ามีประโยชน์
ชนทั่วไปมิความเห็นพ้องต้องกันว่า สำเนียงวาจาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนมีบัญญัติกล่าวห้ามมิให้กล่าวอกุศลวาจาอันเป็นอุปมงคล เช่น "คำคนยำปากนัก" เพราะเกรงกันว่าจะเกิดขึ้นจริง เหมือนสะสมคำภาวนาให้ครบร้อยแปดคำ อันวาจาสิทธิ์นี้นิยมกันมาแต่เทวโลกและนิยมสืบมาไม่เบื่อหน่าย ทุกชาติทุกชั้น ทุกวรรณะเผ่าพันธุ์ จนกลายเป็นคำสวดวิงวอนพระเจ้าของบุคคลขึ้นอีกหลายคัมภีร์ มนุษย์กลัวกระทั่งวาจาตนเองเป็นที่สุด "พูดอะไรนิดหน่อยกลัวเป็นลางร้าย ชะรอยเหตุี้กระมัง คำว่ากาลกรรณีจึงถูกปัดไปให้พ้นจนอยู่สุดท้ายปลายเถา แต่แล้วก็ไม่พ้นความรู้สึกของคนไปได้
อย่างไรก็ตาม กาลกรรณีก็จะต้องเข้ามาปะปนกับสภาฝ่ายคุ้มครองของมนุษย์อยู่นั้นเอง ดูเถอะมนุษย์สร้างกฎขึ้นแล้ว ก็ไม่เดินตามกฎ ปล่อยให้กฎวิ่งตามจนล้า
ถ้าผู้อ่านไม่เชื่อลองภาวนาคาถา ๘ คำของผู้เขียนดูจะได้มองเห็น รัก โลภ โกรธ หลงลำเอียงของมนุษย์ ปุถุชนทั่วไป แล้วท่านจะหนีกาลกรรณีไปข้างไหน
๑. บริวาร ครอบครัว และตัวข้า
อย่าพรากพลัด แรมรา ไกลวิถี ฯ
๒. อายุ ลุ ยาวยืน ถึงหมื่นบี่
รวมสามี ภริยา บุตราตาม
๓. เดช เดชะ อำนาจ พิลาสศักดิ์
บารมีล้นรักเขาเกรงขาม
๔. ศรี สงสารเมตตา สง่างาม
โชคพาความสำเร็จ เสร็จเหมือนปอง
๕. มูละ หลักฐานให้ ได้สมบัติ
เครื่องประกอบ สารพัด เสนอสนอง
๖. อุสาตหะ ให้ดี มีเงินทอง
ไม่ชอบลอง คร้านเกียจเสนิยดกิน
๗. มนตรี ที่พึ่ง ซึ่งมาตรหมาย
อย่าเหินหาย ช่วยประคอง สนองสิน
๘. กาลกรรณี ผีร้าย วายราคิน
อย่าเกาะกิน ดวงกมล ของคนเลย
คาถา ๘ คำนี้ ปราชญ์ท่านตั้งหัวข้อทักษา ผู้เขียนแต่งต่อตามความรู้สึกของตัวเอง และเชื่อว่า สมัยไหน คนเราก็ต้องคิดอย่างนี้กันส่วนใหญ่ เห็นหรือยังว่ามนุษย์เราจะเอาแต่ผล ส่วนเหตุมิได้คำนึงถึง ผิดหลักการครองชีวิตปัจจุบันแค่ไหน
เอ่ยถึงครอบครัวตนเอง ก็เป็นสัญชาตญาณของความจริง เเละพูดถึงอายุสง่าราศ์อำนาจความรัก ส่วนการกระทำ บอกให้ปฏิบัติครึ่งหนึ่ง ก็ยังรังเกียจหรือขี้เกียจ มิฉะนั้นคงตั้งหัวข้อให้ทำงานก่อนความตีความชอบ สง่าราศีคงจะตามมาทีหลัง ยิ่งมนตรี คือผู้คุ้มครองด้วยแล้วไปไว้ อันดับ ๗ ตามความหมาย (เสาร์) ปากก็ภาวนาขอโน่นขอนี่ แล้วกลัวเป็นมุมกลับ ต้องเป็นฝ่ายให้เขาบ้าง เพราะการคุ้มครองก์คือภาระอันหนัก ทุกคนอยากได้ไม่อยากให้ ส่วนอันดับที่ ๘ นั้น ราหู ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นอื่น เขาละที่ท่านปรารถนาอยู่เสมอไงล่ะ แต่ปากของท่านและผู้เขียนก็เคยกวัดไกวใสส่งมานักต่อนก็แล้ว เพราะภาษานิยมที่เรียกกาลกรรณี หรือกาลีนั่นเอง
เพื่อไม่ให้เสียประเด็นเกี่ยวกับกาลกรรณีเมื่อมีราหูจะขอแทรก การคุยของผู้เขียนกับท่านเสียก่อนเพราะประเภทของดาวมันพ้นกัน ราหูนั้นคือ กาลกรรณีโลกและกาลกรรณีของดวงอาทิตย์ เพียงแต่การนับต่างกันเพราะการนับจากโลก ต้องนับตามอันดับเกิด ราหูจึงเดินเลขเรียงลงมา เหมือนเป็นบุตรคนที่ ๘ เพราะเกรงว่าผู้อ่านบางท่านจะสงสัย ว่าทำไมนับ หนึ่งอาทิตย์ สองจันทร์ สามอังคาร สี่พุธ แล้วทำไมผู้เขียนไม่นับต่อเสาร์เนินดาวเคราะห์ตามแบบที่เคยปฏิบัติกันมา เช่นการนับของโหรทั่วไป เขียนมาตอนนี้ ท่านคงพอทราบแล้วว่าคงไม่มีใคร เอาพี่น้องคนที่ ๘ มาเป็นคนที่ ๕ นอกจากจะต่ายไป ๒ คน การออกตัวเช่นนี้ ก็มิใช่ประมาทความคิดท่านผู้อ่าน (หากแต่เคยโดนสงสัยมาแล้วและท่านผู้นั้นไม่ไม่ได้ค้านด้วยวาจาเพียงแต่ไปเปลี่ยน เลข ๕ เป็นเลข ๗ บนกระดานดำเมื่อวันผู้เขียนไปบรรยายเรื่องนี้ที่สมาคมโหร ฯ )
ท่านผู้รู้ผู้หนึ่งกล่าวว่า กาลกรรณีนั้น อุปมาตังเลือดเนื้อ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ จึงเป็นเลือดเนื้อได้ ส่วนศรีนั้นคือผิวหุ้มเนื้อ ผิวดีก็ส่งเนื้อให้ดูเด่น คงตรงเป้าหมายกว่าที่ผู้เขียนๆ มาแล้ว เอาเถอะ-ท่านลองติดตามไปก่อน แล้วท่านจะรู้จักกาลกรรณีดีกว่าผู้เขียนเเน่นอนทีเดียว