กาลกรรณีวิจารณ์
งอาจารย สอง_กาลกรรณีวิจารณ์
กาลกรรณี ศัพท์นิยมที่ทำให้นักนิยมโหราศาสตร์ภาคผสมทักษาพยากรณ์ ยุ่งเหยิงกันมามากแล้ว เราเรียกเราคิดตามความรู้สึก กึ่งรังเกียจกึ่งกลัว ตลอดมาตามความเข้าใจกลางๆ ว่าเป็นจุดดำ ลางแห่งความชั่วร้าย และเมื่อมาครองต่ำแหน่งสมมุติ ชาติทักษาอันดันดับ ๘ สุดท้าย ปราชญ์โบราณ ท่านก็ขนานนามว่า ดาวกาลกรรณี นี่เป็นความเชื่อค่อนข้างมั่นคงกันสืบมา
ส่วนดาวกาลกรรณี จะได้รับอภิสิทธิ์จากพรหมหรือพระองค์ใดไม่ทราบแน่ แต่เรามนุษย์นักนิยมโหราศาสตร์ หวั่นเกรงอิทธิพลเสียยิ่งกว่า นักค้า กลัว ก.ต.ภ.เก็บภาษีย้อนหลัง
การที่โบราณใช้ภาษาน่ากลัวน่ารังเกียจ มาเรียกดาวที่มีอทธิพลที่สุดจำนวน ๘ ดวง เจตนาคงให้เห็นจุดด่างพร้อยเสื่อมทรามที่ควรจะต้องแก้ไขตั้งแต่ต้น การมีอารมณ์ร่วมเพื่อปลูกความนิยมมีกันมาแต่โบราณ แต่หลักการโฆษณาผิดกับปัจจุบัน เหตุนี้ภาษานิยมที่จะแก้สิ่งบกพร่องเสื่อมทราม จึงเต็มไปด้วยถ้อยคำที่น่ารังเกียจหลายต่อ หลายคำ ที่ท่านก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว
ฉะนั้น คำว่ากาลกรรณี ซึ่งเป็นคำผสมศัพท์แบบสมมุติฐาน จะมามีความหมายแต่เฉพาะชั่วร้ายเลวทรามอย่างเดียวมิได้ ประดุจตัวต้นเหตุอื่นๆ เช่น ผีกาลี คนกาลี ลักษณะกาลีฯลา เพราะดาว ๕ ดวง จะต้องหมุนเวียนควบคุมต่อทุกๆ ชีวิต ตำแหน่งก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้นคำว่า กาลี หรือกาลกรรณี (คือการถูกตัดออกจากความนิยมเเล้ว) จะมามีความหมายสมบูรณ์ในทางชั่วร้ายกับดวงดาวโดยเฉพาะมิได้ที่เดียว
ผู้เขียนเคยเห็นนักนิยมโหราศาสตร์ ในภาคทักษาพยากรณ์หลายท่าน วิตกกังวลด้วยดาวกาลกรรณีในแง่ชั่วร้ายเกือบเป็นมุมเดี๋ยว ยิ่งเป็นดาวบาปเคราะห์เช่นเสาร์ ราหู ก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น ส่วนท่านที่มีศุภเคราะห์เป็นกาลกรรณี ก็ว่าไม่สู้กระไรนัก จึงขาดการหวั่นเกรงเท่าควร ว่ากันโดยเหตุผลแล้ว ผู้เขียนคิดว่าคงมีอำนาจทัดเทียมกันแต่คนละหน้าที่เท่านั้น
ส่วนผู้ที่มีดาวกาลกรรณีกุมลัคนาอยู่แล้ว เมื่อเห็นดาวบาปเคราะห์โคจรผ่านมา ก็ยิ่งครั่นคร้ามมากขึ้น พยายามทุกอย่างที่จะแก้ไขบิดพริ้วอย่างโน้นอย่างนี้ บางรายก็จะปลอบใจตนเองและมิตรสหายที่ตนทำนาย ด้วยการใช้คำๆหนึ่ง ซึ่งมาจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ว่า ลบ-ลบ เป็น บวก มันคงจะฟลุ๊กรวยกันใหญ่คราวนี้ก็ได้ จะด้วยความเบ็นมาจากกลุ่มดาวหรือบังเอิญก็ตาม เกิดไปรวยเข้าจริง ก็จะลืมกาลกรรณีเสียสนิท อุปมา ดุจมิจฉาชีพลืมกฎหมายเมื่อสมหวัง แต่พอมีนานกลับไปมีเคราะห์ร้ายประการใดเข้าอีก ก็ให้พิศวงแคลงใจว่า นี่เรา (ผู้เคราะห์ร้าย) จะเชื่ออย่างไรดี บุคคลฉลาดสำคัญๆ ก็มีศัพท์มาแสดงใหม่ว่านั่นคือ ทุกขลาภ
ว่าที่จริงก็มีทางแก้อยู่บ้าง แต่คงมีหายเสียทีเดี๋ยว เช่นการเล่าเรื่องเปรียบเทียบ การเปลี่ยนชื่อชูชกไว้แล้วในตอนต้น ( มุขแถลง) เรามนุษย์เกิดมาเพื่อเดินตามกรรมลิขิต เราจะแก้กรรม โดยมีรับผิดชอบกรรม ซึ่งเป็นการกระทำ ของเราเองบ้างหรือ ผู้เขียนเองไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ ในเชิงทักษาพยากรณ์นัก แต่พอเข้าใจเอาเองว่า การรู้วิธีทำนายโชคในภาคทักษานั้น ก็คือการรู้วิธีอ่านกรรมของตนเอง คำท่าทำนาย ก็คือตัวบทกฎหมาย ซึ่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ ผู้ทำนาย ก็คือทนาย ผู้เล่าเรื่องให้เรา (ลูกความ) ผู้ซึ่งไม่ประสิประสาทางกฎหมายฟัง ถึงโทษและคุณที่เราจะได้รับ แล้วก็พยายายามแก้ต่างให้ หากถูกจังหวะถูกวิธี ก็พอบิดเบือนหลีกเลี่ยงได้บ้าง แต่คงไม่หลุดพ้นจากความผิดหรือกรรมของตน เช่นการว่าความจริงๆในปัจจุบัน กฎหมายของกรรมตามกำเนิดศักดิ์สิทธิ์เพียงไร ท่านคงทราบดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้ถนัดในเชิงทักษาพยากรณ์ น้อยท่านที่จะมองดาวกาลกรรณีอย่างเป็นกลางได้ ดุจนักโทษย่อมมองผู้คุมอย่างขาดไมตรี มิใช่ว่า ผู้เขียนไม่เคยพบอิทธิฤทธิ์ของกาลกรรณีมาก่อน ผู้เขียนผจญกับกาลกรรณีมาจนบอบมาแล้ว ทุกคราวที่ผู้เขียนรับภัยพิบัติต่างๆ ผู้เขียนก็เคยวิ่งไร่ไปเที่ยวหาที่ปรักษา ก็คือหมอดู หรือบ้างก็เรียกว่าโหร ได้ยินซ้ำๆๆๆกันหลายไหรหลายหมอ ว่ากาลกรรณ์เล็งลัคนา กาลกรรณีต้องจันทร์ กาลกรรณีเข้าเรือนทำลายเรือนลาภ กาลกรรณีทับลัคนาแล้วยังไปเกี่ยวข้องกับเรือนโน้นเรือนนี้อีกต่างหาก รวมเเล้ววุ่นตลอด 12 ราศี ชักจะแคลงใจขึ้นมาว่าทำไมถึงได้เก่งเพียงนั้น ดาว 10 ดวงไม่มีใครที่จะต่อต้านกาลกรรณีได้สักดวง มาคิดถึงหลักธรรมชาติแล้วไม่น่าจะเป็นได้ มันจะต้องมีปฐมเหตุ หรือการร่วมแรงร่วมใจ มิฉะนั้น ไหนเลยมันจะเก่งกาจเพียงนี้ พอจะจัดได้ว่าเป็นดาวที่มีอทธิพลน่าขามเกรงนัก จึงเริ่มต้นติดตามศึกษาวิจัยวิจารณ์ เพราะมีนิสัยติดทะเล้นอยู่ด้วยเลยไม่เคยคิดเข็ดหลาบอะไร ทั้งที่โดนมันน๊อตอยู่หลายหน ซึ่งแต่ละทีแทบตาย
ผู้เขียนสู้กับมันแบบใจดีสู้เสื้อ ไม่ใช่เสื้อเห็นเราใจดีแล้วจะไม่กัด อย่างน้อยเราก็รู้ก่อนตายว่าเสื้อตั้งต้นกัดตรงไหน การตั้งป้อมรับ ก็เกิดสติขึ้นมาว่าจะสู้อย่างไรทางสู้คงมิน้อย พอหลบเลี่ยงได้บ้างก็แค่ตายช้าหน่อย เผื่อปาฏิหารย์จะมีอะไรมาช่วยเช่นเรื่องนิยายก็เป็นได้ (แล้วบังเอิญก็เคยเป็น) โอกาสอันน้อยนิดเช่นนั้น หากพ่ายแล้วถึงแก่อันตราย จิตก็คงจดจำไปฟ้องร้องกล่าวโทษของเสือเอากับพญายมในเมืองนรก ก็ยังดีท่านจะได้ปล่อยเรามาสู้กับเสือใหม่ เรื่องของกาลกรรณีนั้น ต้องค่อยติดตามจะทำให้ได้คิดว่าเกิดจากอะไร กาลกรรณีจึงทรงพลังอ้านาจมากนัก
บางที่ท่านผู้อ่านที่ฉลาดกว่าผู้เขียน จะมองเห็นกิ่งก้านอีกแขนงหนึ่งของทักษาพยากรณ์ ดีกว่าผู้เขียนเป็นมั่นคง
ขอบคุุณที่มา : หนังสือบทความ"กาลีกับโลก"ของอาจารย์ วิ.จอม ปรีดา , บ.ร. วรรณวิจิตร์

#อ่านดวงไทยสบายสบาย ตามสไตล์คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสร์ไทยฟรีด้วยตนเองได้ที่เวปบ้านคุณยายกลิ่นโสม



:: https://www.baankhunyai.com
