เรียนจักรราศี
ราศี
ธาตุ ในโหราศาสตร์
ภพ/เรือน
และอื่น อีกมากมายฯ ที่จำเป็นในการออกคำพยากรณ์
โดยการนำหลักข้างต้นคือ ไม่ว่าจะ ราศี ราศีธาตุ ต้น_กลาง_ปลายราศี ความหมายดาว ธาตุดาว ความหมายภพ/เรือน แล้วก็นำมาอ่านสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจจะลัคนา ตนุลัคน์ ตนุเศษ จะกุม เล็ง โยคหน้า โยคหลัง อ่านแฝงเรือน แฝงดาว ต่ำแหน่งดาวมาตราฐาน หรือไม่ว่าจะกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็จะออกคำพยากรณ์ ออกมาได้แม่นเหมาะพอดี
โดยหลักๆจำเป็นก็ประมาณนี้นะ แต่ส่วนที่จะลงรายละเอียดได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับความชำนาญของผู้พยากรณ์ ว่าจะแปลออกมาได้ละเอียดได้มากน้อยแค่ไหน
ที่เวปบ้านคุณยายกลิ่นโสม ก็จะใช้หลักประมาณนี้ ซึ่งเพียงพอในการอ่านพื้นดวงฯ ส่วนใคร ท่านใดจะใส่กฎเกณฑ์ประมาณไหน ก็ขึ้นกับความชำนาญของท่านๆนั้นนะ ส่วนยายอ่านดวง แปลดวงขอใช้ท่านนี้แร่ะ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก
จักรราศี
จักรราศีเป็นวงกลม ซึ่งถ่ายทอดความหมายจากวิถีการโคจรของโลกบนท้องฟ้า ลงมาเป็นแผ่นกระดาษ และได้แบ่งวงกลมออกเป็นส่วนๆ เป็น 12 ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่าราศี และในแต่ละราศีจะมีชื่อกำหนดเรียกประจำจนครบ 12 ราศี โดยเริ่มตั้งต้น ที่ราศีเมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ เวียนไปจนถึง ราศีมีน ตามรูป ซึ่งจะเป็นชื่อเดือนในรอบปีพอดี ทั้งๆนี้และในเดือนนั้นๆ พระอาทิตย์(๑) จะโคจรเข้าประจำราศีตรงตามชื่อเดือน
จักรราศี มี 12 ราศี มี 360 องศา ใน 1 ราศี มี 30 องศา จึงทำให้เกิดเป็นการแบ่งทิศ บอกขอบเขตของฤดูกาล ซึ่งใแต่ละราศีจะกำหนดการหนักเบาของเรื่องที่เกิด(ในการทำนาย) จักรราศีบอกถึงบุคคล สิ่งของ สถานที่ เหตุการณ์และอื่นๆ อีกมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น ราศีเมษ หากเป็นคน ก็จะมีบุคคลิกคล่องแคล่ว ว่องไว
หากเป็นสถานที่ ก็จะเป็น ที่โล่งๆ
หากเป็นทิศ ก็จะเป็น ทิศตะวันออก
หากเป็นอวัยวะ ก็จะเป็นศรีษะ เป็นต้น
อ้าวววว แล้วยังจะมีธาตุอะไรอีกล่ะยาย มีธาตุอะไรกันอีกกก
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าชะตาลัคนาราศีสิงห์ มีอาทิตย์กุมลัคนา ก็เท่ากับได้ดาวอาทิตย์(๑)เป็นตนุลัคน์ และตนุเศษ
ส่วนตนุเศษก็คือดาวจิตใจ คิดยังไง รู้สึกแบบไหนไงคะ มาเข้าเรื่องอาทิตย์ต่อกันดีกว่า
แล้วยังอาทิตย์(๑) เป็นตนุเศษเข้าไปอีก ก็เท่ากับว่าเค้าคิดปุบ ต้องลงมือทำปับทันที นั่งรอๆๆเป็นนางสายบัว รอไหมคะ แน่นอนว่าไม่ เพราะเป็นคนรอไม่เป็น นี่คือที่ยายอ่านดวงเล่นๆ ประกอบว่าทำไมเราจึงต้องเรียนเรื่องธาตุเข้ามาประกอบการอ่านดวงฯด้วยไงคะ คงคิดนะคะว่า ยิ่งอ่านกันไปก็ยิ่งยากขึ้นเน๊อะ
ในแต่ละดาว จะมี "ความหมาย" ที่จะใช้ในการออกคำพยากรณ์
โดยหลักๆเราจะใช้ความหมายดาวแทน บุคคล สิ่งของ สถานที่ สถานการณ์ และอื่นๆอีกมากมาย
เช่น.. ดาวอาทิตย์ (๑)
แทนสถานที่ล่ะ ^^ อิอิ ก็สถานที่ราชการ โรงไฟฟ้า
แทนเหตุการณ์ล่ะ ก็ได้รับเกรียติ การเลื่อนตำแหน่ง ฯ
และอื่นๆ ถ้าเป็นอารมณ์ล่ะก็อารมณ์ร้อน ใจร้อน ประมาณนี้
ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับดาวต่างๆ คงคิดแล้วล่ะ ว่าแล้วนี่ต้องใช้ดาวกันกี่ดวง อิอิ!! ไม่มากไม่มายหร๊อกค่ะ ก็แค่ 10 ดวง มีอาทิตย์(๑) จันทร์(๒) อังคาร(๓) พุธ(๔) พฤหัส(๕) ศุกร์(๖) เสาร์(๗) ราหู(๘) เกตุ(๙) มฤตยู(๐) คิดว่าพอไหวนะ น่าาา !! ยายว่าคุณๆ คงไหวกันอยู่แล้วล่ะ เน๊อะ!! เอาล่ะพอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมเราต้องรู้เรื่องดาว ว่าแต่ดาวอ่านเดียวอ่านดวงได้ไหม ตอบว่าอ่านได้จ๊ะ อ่านได้ติ๊ดๆๆ หากเราต้องการอ่านขยาย เราก็ต้องรู้ว่าดาวนั้นๆ ธาตุอะไร
จันทร์(๒) เป็นธาตุดิน จันทร์เป็นธาตุดิน ก็จะมั่นคง แต่จันทร์เป็นดินเหลว ย่อมมั่นคงเป็นไปมิได้ เนอะ
อังคาร(๓) ล่ะ อังคารเป็นธาตุลม ลมย่อมไม่แน่นอน แปรปรวนง่าย นั่นแสดงว่า เอาแน่เอานอนไม่ได้ ว่าไหม
พุธ(๔) เป็นดาวธาตุน้ำ น้ำย่อมจะปรับตัวเข้ากับได้ทุกสภาวะ จะหมายถึง สามารถปรับตัวเข้ากันได้กับทุกสถานการณ์
พฤหัส(๕) เป็นดาวธาตุดิน ดินอย่างพฤหัสเป็นดินแข็ง นั่นก็แสดงถึงความมั่นคง ก้าวหน้าอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
ศุกร์(๖)เป็นดาวธาตุน้ำ ศุกร์เป็นน้ำใสๆ แสดงสถานะถึง มองโลกแง่ดี ด้านบวกๆ
เสาร์(๗) เป็นดาวธาตุไฟ เสาร์เป็นไฟสุมขอน ไฟยังไงก็ต้องร้อนเนอะ นั่นจะหมายถึง มีกรุ่นของพลังงานตลอดเวลา
ราหู(๘) เป็นดาวธาตุลม ราหูเป็นลมหมุน แน่นอนว่า ลมไม่แน่ไม่นอน มุนแบบนี้ก็เอาแต่ใจมากๆแน่เลย
เกตุ(๙) เป็นดาวไม่มีเรือนจึง ไม่มีธาตุดาวตามทักษา
มฤตยู(๐) เป็นดาวไม่มีเรือนจึง ไม่มีธาตุดาวตามทักษา เหมือนกัน
พอเอาความหมายดาว แล้วอ่านขยายด้วยความหมายธาตุอีกที เราก็จะอ่านขยายได้เพิ่มมากขึ้นได้อีก ก็ทำให้เรารู้รายละเอียดมากขึ้นอีกนั่นเอง
หากลงลึกเรื่องดาว เรื่องธาตุ จะอ่านดวงได้หรือยัง ก็น่าจะได้นะ แต่ยังลงรายละเอียดมากๆคงไม่ได้ เพราะนอกจากดาวแล้ว เรายังก็ต้องรู้เรื่อง ภพ/เรือน เพื่อจะอ่านได้ละเอียดมากขึ้นไปอีก
แล้วเรือนที่ว่านี่คืออะไร เรือนก็คือบ้าน ที่ตั้งของเจ้าของดาวดวงนั่นเอง แล้วเค้ามีกันกี่เรือนล่ะยายฯ อ๋อ!! เค้ามีกัน 12 เรือนนะ โดยเริ่มที่ ตนุ กดุมภะ สหัสชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ แล้วก้อ วินาศน์ ครบ 12 เรือนพอดี ซึ่งในเรือนแต่ละเรือนก็จะมีความหมาย ของเรือนนั้นอยู่
ตนุ ก็จะหมายถึง ตัวเจ้าชะตา ผิวพรรณ รูปร่าง บุคคลิก สิ่งแวดล้อม ฯ
กดุมภะ ความหมายถึง เงิน รายได้ ฯ
สหัสชะ ความหมายถึง เพื่อน สังคม น้องฯ
พันธุ ความหมายถึง แม่ วงศาคณาญาติ บ้าน ฯ
ปุตตะ ความหมายถึง บุตรหลาน บริวาร ฯ
อริ ความหมายถึง อุปสรรค ปัญหา การแก้ไข ศัตรู ฯ
ปัตนิ ความหมายถึง คนรัก คู่ครอง ศัตรู ฯ
มรณะ ความหมายถึง ตาย จากไป เจ็บป่วย ฯ
ศุภะ ความหมายถึง ความสำเร็จ คนช่วยเหลือ การศึกษาต่อ ฯ
กัมมะ ความหมายถึง การงาน อาชีพ ความรับผิดชอบ ฯ
ลาภะ ความหมายถึง โชคลาภ ลาภลอย ฯเราก็ใช้
แล้วก้อ วินาศนะ ความหมายถึง ปกปิด กระทันหัน ลึกลับ ฯ
แทนเหตุการณ์ล่ะ ก็จะเป็นเรากำลังเม้าส์ กำลังคุย
และอื่นๆ แทนความรู้สึกก้อเป็น ความรุ้สึกแบบเพื่อน เป็นต้น
พออ่านได้มากขึ้น สมมุติว่ามีดาวอะไรจากเรือนไหนเข้าไปอยู่ในเรือนสหัสชะ เช่นมีดาวจากเจ้าเรือนอริ เข้ามาอยู่ในเรือนสหัสชะ นั่นก็หมายความว่า เพื่อนคนๆนี้อาจจะเป็นคนไม่ดี หรือเป็นคนที่มีปัญหาเข้ามามีปัญหากับเจ้าชะตา ก็ได้เช่นกัน
ฉะนั้นนี่คือสาเหตุที่เราต้องรุ้เรื่องความหมายเรือนไงคะ
โอ๊ะๆ ยายเริ่มดูยากแล้วนะ ไม่หร๊อกค่ะ ยายคิดดูแล้วว่าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน สามารถอ่านดวง ดูดวงได้ สบายๆอยู่แล้วล่ะค่ะ เพียงแต่เราต้องค่อยๆเพิ่มๆเข้าไปทีละอย่าง ทีละความหมายไง อย่ารีบใส่ทุกอย่างลงไปพร้อมกัน อ่านแล้วจะงงๆ แต่ยังไม่จบนะ ถ้าจะบอกว่าในการอ่านเราใส่ธาตุไปด้วย เราก็จะอ่านได้ ละเอียดมากขึ้น มากขึ้นไปอีกนั่นเอง