บทบาทดาวเคราะห์นอกทำเนียบ

   บทบาทดาวเคราะห์นอกทำเนียบ โดย อาจารย์บุญเรือน วรรณวิจิตร

  

  บทบาทดาวเคราะห์นอกทำเนียบ


เรื่องที่บรรยายตํอไปนี้ ไมํมีอยูํในตําราแจ้งชัด แต่เชื่อว่าการคิดค้นของผู้เขียนอาจจะไปคล้ายกับท่านผู้ผูกตํารา เดิมอยู่บ้าง เนื้อแท้ของตําราหากอ่านกันให้แจํมแจ้ง คงไม่ห่างเหินความจริงสักเทําใด ... เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะ ตํารามิได้มีไว้แง่เดียว มุมเดียว ทํานผู้รจนา ได้สํารองความคิดเห็นเผื่อเลือกไว้ ต่างแง่ต่างมุมกัน จะให้มีผู้สอนท่าน พยากรณ์เป็นไปได้ตลอดรอดฝั่งเป็นการยาก

ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ จะต้องมีแบบฉบับของตนเองเป็นเอกเทศบ้าง เมื่อนอกเหนือหลักการสอนใหญ่ๆแล้ว อุปมาดังคนที่เกิดมา ไม่มีบ้านเรือน ที่ดินเป็นของตนเอง และของปู่ย่าตายาย บิดามารดาสะสมไว้ให้ แต่บุคคลนั้นยังมีโอกาส "ส่ง" ชีวิตของตนเองไปเป็นบุคคลชั้นสําคัญๆ ได้ ก็เนื่องด้วย "องค์ประกอบ" ชีวิตค้ำจุนส่งเสริมยกระดับแทน ทรัพย์สิน ที่อาจจะจีรังและไมํจีรัง

หลักการใหญํๆ เช่น เกษตร - อุจจ์ นั้น เป็นเรื่องของการริเริ่ม วางรากฐานในเชิงการศึกษาจึงต้องรู้แนวเดิมไว้ กํอน "เป็นไปอยํางไร เป็นมาอยํางไร..." เป็นไป คือ องค์ประกอบการพยากรณ์ อนาคตเป็นมา คือแก่น พื้น ชะตาที่เป็นองค์ประกอบรูปชะตา ให้เป็น "ดวงชะตา" หน้าที่พระเคราะห์ทั้งหลาย ที่จะมาปกครองคือใคร ? ดาวดวงไหน? หน้าที่อย่างไร กําเนิดพระเคราะห์ ที่จะเป็นพี่เลี้ยงดวงชะตามีมาตรฐานอันดับชั้นอย่างไร ทิศทางที่มาของพระเคราะห์เข้ากันกับสภาพภูมิประเทศประจําจักรราศี และที่ลัคนาสถิตย์หรือไม่?

ต่อไปนี้เราจะคุยเรื่องดาวที่นอกตําราเขียน (ไม่หมายถึงตําราที่ผลิตขึ้นใหม่ถอดด้าม) ที่นํามาเสนอเพราะเคยใช้ ได้ผล เผื่อท่านอ่านแล้วจะกํารี้กําไรขึ้นบ้าง (ว่าไม่ได้) หากมีเรื่องขาดเหลือเกินเลยอยํางไร ท่านจะชํวยบอกกล่าวตักเตือนก็ ยินดีเหลือ... การคุยเฟื่องเรื่องนี้ยังมิอาจหาญจะออกนอกรีตทีเดียว ยังไงๆ ก็ขอเจริญรอยตามโบราณไว้ก่อนเรื่องมันถึงจะ "ขลัง"

ว่าเรื่อง "ประ" ก่อน ... "ประ หรือ ปร" แปลตรงๆว่า อื่น 
ปร เป็นคํานําหน้าของคําหลายๆคําเชํน "ปรโลก" แปลวําโลกอื่น หรือโลกข้างหน้า "ปรเทศ-บรเทศ" ก็แปลวําประเทศอื่น ต่างถิ่น ต่างแดน
ส่วน "ปรปัก" ความหมายเกือบ กลาย เพราะหมายถึงฝ่ายตรงกันข้าม และยังมีอีกแยะแปลไมํไหว อย่าเพิ่งไปอยากรู้เลย ยกมาอ้างเพื่อประกอบกัน ความหน่อย เพื่อให้มันเกิดเรื่องของ "ประ" ก็แล้วกัน

คํานี้ถ้าใช้นําหน้าเกษตร น่าจะเขียน "ปรเกษตร" มากกว่าจะเขียน "ประเกษตร" เราอ่านประ  กันมาเป็นอันถือ ว่า "เคยปาก" ได้ยินใครเขาอําน"ปะระ" อย่าไปติเขา ผู้รู้ทํานจะค่อนเอาหนา

เกษตร เปรียบความได้ตั้งแต่ใหญ่มาหาเล็ก ท่านสร้างเกษตรไว้เพื่อแสดงแผนที่ท้องถิ่นตั้งแต่ ประเทศ ทิศทาง จังหวัด อําเภอ ตําบล ตลอดจนบ้านเล็กเรือนน้อยของผู้อื่นและตนเองหรือจะมุ่งหมายเป็นรั้ววังก็ได้ "เรียกว่า" ชื่อมัน เป็นเรื่องของความ "ภูมิฐาน" ก็ปานนั้น... แต่ทั้งหมดเป็นเพียงความหมายที่สมมุติฐานขึ้นชั่วคราว เพื่อให้เข้ากับรูปเรื่อง อย่าคิดวําคนที่เกิดในรั้ววัง จะต้องเกิดในราชตระกูลเสมอไ ป อาจเป็นผู้เกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่ง หรือไม่เกี่ยวโดยตรงก็ เป็นได้ หากอาศัยเพียงชั่วคราว แตํบังเอิญบุคคล พืช สัตว์ สรรพสิ่ง เมื่อเรื่องของเรื่อง จะไปตั้งต้น "เกิด" ตรงนั้นจะว่า อยํางไร

ข้อเปรียบอื่นก็เหมือนกัน จะเป็นประเทศ จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้านอะไรก็ตาม เนื้อเกษตรแท้ก็ได้พรรณ มาปานนี้แล้ว จวนรู้เรื่องแล้วหรือยัง ...?

ต่อไปนี้จะสมมุติพระเคราะห์ให้ทราบว่า เมื่อพระเคราะห์เป็นประ เราจะควรพิจารณาอยํางไรก่อน อาทิเชํน ดวงชาตาที่เฉลิมแล้วเป็นรูปดวงมีพระศุกร์ (๖) อยู่ราศีเมษ ก็ต้องดูก่อนวํา พระอังคาร(๓) ของเจ้าชาตานั้นไปอยูํในตําแหนํงไหน เป็น อะไรเดิม (หมายถึงวําเชิงมุมสัมพันธ์ต่างๆ) และพระอังคาร(๓) มีฐานะสภาพตัวเองอยํางไร หากร่วมราศีเดียวกัน เราเรียกวํา "มิตรรํวมเรือน" ฐานะของพระศุกร์ (๖) นั้นเป็นฝ่ายอาศัยพระอังคาร(๓) แน่นอน แต่อาศัยอย่างรักกันหรือคิดค่าเช่า ซื้อ ขาย นั้นเป็น อีกเรื่องที่จะต้องตรวจดูความเกี่ยวโยงแน่เสียก่อน

การเทียบศักดิ์ศรีกัน เป็นเครื่องชี้บ่งชัดกว่า บอกที่มาที่ไปในอนาคตได้ทั้งดาวเดิมและดาวจร เมื่อจะไขความ พยากรณ์ต่าง ๆ ก็จะแนํชัดได้ ทั้งนี้ทํานไปอํานอนุสนธิ์คูํมิตรอีกที หากเจ้าเรือนถูกรบกวน ภาษาโหรวํา "เบียฬ" แต่การ เบียฬก็มีอยู่หลายวิธี ทั้งทางตรงทางอ้อม ... ตั้งข้อสังเกตุไว้ก่อนว่าพระอังคาร (๓) เจ้าเรือนนั้นมีดาวเคราะห์ ดวงใดมาเป็น ศัตรู เล็กศัตรูใหญ่ รังควาญเอาบ้างหรือไม่? พระศุกร์(๖) ที่เป็นคู่มิตรอยู่ในฐานะจะซ้ำ หรือจะช่วย คู่มิตรก็มีทั้งคุณโทษ "ซ้ำ" ในที่นี้หมายถึงว่า อย่างน้อยพระศุกร์ (๖) อาจจะถือความเป็นกันเอง ไม่จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ด้วยเหตุหลายประการ เช่น วัยยังไม่ สามารจะชํวยได้ ให้พยากรณ์ว่ามีญาติอายุน้อยไร้อาชีพและคําใช้จ่ายจะช่วยมาอาศัย และเกิดภาวะจํายอม ที่ต้องให้ อาศัยด้วย เช่นกรณีย์ลูกกับแม่ ผัวกับเมีย ญาติผู้น้อยที่เป็นกําพร้า บางรายอาจเป็นที่รัก (คู่ครองในอนาคต) หรือคู่ลับ และผู้เคยมีบารมีกันมาก่อน ถืออําเภอใจไม่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเหล่านี้

หากพระอังคาร(๓) อยู่ราศีที่สองจากลัคนาที่กุมศุกร์อยูํแล้ว ที่เรียกว่าเรือน กดุมพะ หมายความวํา เจ้าช าตาเคยมี ที่ดินบ้านเรือน แต่หมดไปแล้ว หากระหว่างพยากรณ์ยังไม่มี ก็พยากรณ์อนาคตว่า จะมีแล้วหมด ต้องระวังรักษาอย่างดี การที่หมดจะโดยวิธีขาย- หรือถูกยึดทรัพย์สินก็แล๎วแตํ รวมไปถึงค่าเช่าละ


อีกกรณีย์หนึ่ง โดยตําราโหราศาสตร์ทั่วทั่วไปอีกว่า เจ้าเรือนที่ อยู่ตรงกันข้ามนั้นเป็นภพ "ปัตนิ" หรือคู่ครอง ปัตนิเมื่อเดิมยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นร่วมหอลงโรงกันก็ต้องเป็นผู้อื่นอยู่ดีแหละ การนับตามหลักแล้ว นอกจากพ่อแม่ปู่ย่าตา ยาย นอกนั้นแม่พี่น้องคลานตามกันมา ก็ยังเป็นผู้อื่นอยูํในทางปกครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน เพราะยังมีการแก่งแย่งสมบัติ 3 กันอยู่เสมอๆ แต่เพราะร่วมเกิดจึงคิดว่าสนิทกัน คู่รักเมื่อยังไม่สมสู่ก็เป็นอื่นไปตามอัตโนมัติ เพราะปัตนินั้น แปลตรงๆ วําแม่เรือน เจ้าของดวงชาตาที่เคยแตํงงานแล้วและยังร่วมอยู่กินกัน จะต้องถือภพปัตนิเป็นหุ้นสํวนบริษัทร่วมงานกัน ครอบครัวใหญ่ๆ ที่รํวมอยู่กันบางครั้งยังกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งเสียด้วยซ้ํา และเป็นศัตรูตัวร้ายยิ่งกว่าภพอริเองทั้งพื้น ทั้งจร

โดยนัยแห่งพยัญชนะ "เกษตร" แปลว่า เขต แดน ในระบบสากลทั่วไปถือภพนี้วํา "ศูนย์รังสี" จะเกิดจุด สะเทือน-จุดระเบิดจุดตั้งรับอยํางไรอย่างหนึ่ง ก็คือภพเล็งลัคนา เล็งดาวนี่แหละ ผู้เขียนก็หมดภูมิทางสากลที่จะอธิบาย ให้ดีกวํานี้ ยกมาเทียบความตามพอที่จะเข้าใจถึง ฉะนั้น ภพปัตนิ ของทุกชาติทุกภาษาจึงเป็นเรื่องใหญํ เพราะผลได้ของ ภพนี้ต้องหารสองเสมอ(หมายถึงเวลาได้ๆครึ่งเดียว) แต่เวลาเสียต้องเสียแก่ภพนี้หมด กล่าวคือทําลายได้หมดให้คุณครึ่งเดียว "มีลักษณะเป็นเอี่ยวในผลได้" ถ้าเป็นทุกข์ภัยไข้เจ็บ ไม่ตายก็คางเหลือง ฉนั้นก่อนท่านจะลงโทษ "ปร" ท่านต้องหา เหตุหักล้างให้สมควรดีทีเดียว

โดยอรรถ เกษตร เป็นที่อยูํเฉพาะส่วน โดยความหมายทั่วไป เกษตร เ ป็นที่อยู่อาศัยที่พํานัก ฉนั้นบุคคลที่มี คู่-แยกคู่ก็สืบเนื่องของเหตุดาวเคราะห์ "นํามา-นําไป" ทั้งสิ้น "ปรเกษตร" เป็นคู่มิตรคูํหนึ่งสองเรือน คือพระศุกร์ (๖) อังคาร (๓) โบราณจารย์แบ่งไว้ สําหรับภาคกลางวันกลางคืนเป็นคู่ศักดิ์ศรีเสีย สองเรือน คือพระอาทิตย์ (๑) ราหู(๘) และพระจันทร์ (๒) พระเสาร์(๗) สองคู่นี้เป็นคู่ศักดิ์ศรีและคู่วิวาทฉกรรจ์ เปรียบความว่าศักดิ์ศรีดังนี้

พระอาทิตย์(๑) นั้นมีทั้งศักดิ์ทั้งศรีอุปมาดัง "เจ้าพระยา" ฯ สํวนพระราหู (๘) เป็นดังมหาโจรที่ปล้นฆําทําร้ายเจ้าพระยา หากพระอาทิตย์ (๑) เป็นกษัตริย์เจ้าฟ้า พระราหู (๘) คือข้าแผ่นดินหรือเศรษฐีกับทาสชาย .... สรุปแล้วก็คือ การต่างวรรณะนั่นแหละ หากเป็นคู่สามีภรรยา ก็อุปมาผีเสื้อกับพระอภัยมณี

พระจันทร์ (๒) เปรียบดังนางพระยาฯ พระเสาร์ (๗) ดังกดุมภีร์หรือทาษีหญิง กล่าวคือคนไมํมีตระกูล แต่มีทรัพย์ หากพระเสาร์ (๗) เป็นเกษตรกร พระจันทร์ (๒) ก็คือขุนนางข้าราชการ หากเป็นสามีภรรยา ก็อ่านไปทางฐานะความเป็นอยูํ

พระพฤหัส (๕) เป็นปัญญาที่ปลูกขึ้น เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบด้วยสุขุม คติรอบคอบ

พระพุธ (๔) นั้น เป็นปัญญา-ปฏิภาณ ปัจจุบันทันด่วน แบบปัญญาเฉพาะหน้าหรือเอาตัวรอด ฉะนั้นอาจไม่ดีเท่า การรอบคอบ ด้วยมีช่องโหว่วผิดพลาดขึ้นได้ในกรณีรีบร้อน

เราแยกคู่พระเคราะห์เป็นคู่ๆ ก็เพื่อยกระดับให้เสมอกันหรือดีกว่ากัน ทั้งที่ไม่มีดาวหลัก

โหราศาสตร์เป็นวิทยาการที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะคิดให้เกินธรรมชาติ ผลจะน้อยไป หลักการที่อ้างเหมือน เราเรียนหนังสือ ต้องรู้จักตั้งแต่ ก-ฮ แต่พยัญชนะก็แล้วแตํกลุ่มตัวอักษรว่าจะแปลอย่างไร ความหมายอะไร

พระพฤหัส (๕) ที่เป็น "ปรเกษตร" ราศีมิถุนนี้จากข้อที่เคยสังเกตุมา หนักไปทางความคิดโลดโผนอิสระ อันความคิด อิสระเกินไป ก็เกิดโทษขึ้นได้ ข้อนี้ไม่เถียง ปกติของดาวพระเคราะห์ พระพฤหัส (๕) นี้เป็นอันดับคั่นตอน เพราะปัญญาที่ปลูกด้วย สติ และการศึกษาประสพการณ์ เป็นแนวอย่างถูกต้องกระบวน ดังนี้เมื่อเป็นปร , จึงมีนิสัยคิด, ทําอะไรที่เป็นความเห็น โดยเอกเทศ ย่อมไม่พอใจ ต่อขอบเขตของความคิดที่ถูกจําจัก "สิ่งดี" เป็นบัญญัติของความชอบ, ความพอใจเฉพาะกลุํม เฉพาะที่เช่น เราชอบที่เขาสวย เราพอใจว่าดี เขาผู้นั้นประพฤติถูกรสนิยม ประเพณีของเรา แต่กลุ่มพวกเขาอาจแอนตี้ กันว่า ... "อ้ายนี่ไม่รักวงศ์ตระกูล... ไม่รักถิ่นฐานมาตุภูมิ ...ฯ ไปกราบพระ-ขวางตาแท้ๆ" เพราะผู้คิดเป็นอิสลามิกชน ที่เข้าใจโลกน้อย เข้าใจเฉพาะคําสอนในวงแคบ จึงเที่ยวว่าผู้นั้นผู้นี้ ที่นับถืออะไรผิดจากตนว่า ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นข้อเปรียบเทียบวําราศรีเมถุน มีนิสัยที่จะ "ตะแคง" ไปทางความคิดไม่พอใจใส่ตัว ว่ากันทางโลกก็ไมํมีอะไรผิด เรานัก โหราศาสตร์ทั้งหลาย จึงพบข้าราชการฝ่ายบุ๋นน้อยที่สุดในจําพวกที่มี "พระพฤหัศบดี (๕) เป็น "ปรเกษตร"

สํวน "ปรเกษตร" ในราศีกันย์ตรงกันข้าม ชอบเป็นข้าราชการฝ่ายบุ๋นเป็นพิเศษ ปล่อยไปตามยะถา เช้าชาม เย็นชาม พูดง่ายๆ ชอบให้เขา ( รัฐบาลหรือหลวงเลี้ยง) ชอบคิดอะไรง่ายๆ ไมํชอบการยาก อิ่มหลับนอนไปวันๆ เลยดู ชีวิตดี น้ำหนักเกือบเท่าตัวเกษตรเอง ส่วนมากชาวราศีนี้   แม้ไม่รับราชการ ก็เป็นนักบวช เสียส่วนมาก ก็อยู่ในชีวิตเรียบๆอยู่ดี ส่วนชีวิตคู่พระพฤหัสบดี (๕) ปร , มักเดินคนละแนว ชาวปร, ราศีเมถุน มีคู่มักอยูํในโอวาท และคู่มักใจดี ส่วน ปร, ราศีกันย์ เพ่งไปในทางความรู้ศักดิ์ศรีของคู่ อยํางน้อยก็ฉลาดพอจะอวดสังคมได้จึงเป็นที่พอใจ

"ปร พระพุธ (๔) ในราศีธนู เป็นนักคิดที่แบบแผนชั้นเชิงดี แต่ไหวจัดตรงไปตรงมา ไม่เห็นแกํหน้าใคร การเจรจาของชาวราศีนี้จึงเป็นอันตรายของผู้ที่มีการศึกษาน้อย จะทํากาละเทศะผิดพลาดได้ง่าย เลยกลายเป็นโอษฐ์ภัยไปอย่างน้อย การพูดการแสดง ความหวังดีแต่ละครั้งก็ทําให้ "หงาย" กลับมา

นิจ รูปเรื่องของนิจ, ปร, คล้ายกันทางความเข้าใจของนักศึกษาใหม่ๆ นิจ, ถูกจัดระดับให้ตกต่ำ ก็เพราะนาม เป็นเหตุ เป็นพระเคราะห์ ที่นักพยากรณ์ไม่อยากแล

โดยอรรถ (ความหมายทั่วไปใจความสั้นๆ วํา "ต่ำ) ถ้าทางพยัญชนะทางภาษมคธ บาลี - นิจ-นี-จ แปลวํา "สม่ําเสมอ เรื่อยแต่มั่นคง แสดงบทบาทช้าทีละน้อยๆ แต่นาน เป็นคําๆเดียวกับ "นิตย์" ซึ่งแปลว่าเที่ยงตรง, เที่ยง ธรรม, ตามภาษาสันสฤต แต่แผลงอักษรมามีความหมายทางเดียวกัน มีคุณภาพอ่อนที่ช้า แข็งที่ "ทน" และไม่ยอม เปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพราะพ้นภาวะวิสัยของกําลัง อาทิตย์ บังคับได้มาก เพราะจุดอยูํใกล้โลกหรือใกล้ลัคนาเราเอง เป็นคุณภาพเฉพาะส่วน ไม่นิยมให้พยากรณ์ให้แปลกปลอมอะไร เพราะคําวําต่ำสั้นๆ แทนคําว่า "คงตัว" "คงที่" ไม่มีกําลัง นักศึกษาโหราศาสตร์ จึงได้เข้าใจไกลไปถึงเพียงนั้น พระเคราะห์ที่เป็นนิจ ใช้พยากรณ์คล้ายพระเคราะห๑ "มณฑ๑" แตํ พระเคราะห๑มณฑ๑ มีสภาพไหวตัวเองอยูํบ๎าง แตํมีลักษณะการเถลเถไถ เพราะดําเนินตัวกินวงกว้างออกไป กับไหวตัว ซ้ําซากวนเวียน ไม่กินอาณาบริเวณพ้นราศี การพยากรณ์ ต้องใช้คําว่า รอบ, กว้าง, ซ้ํา, วน, เวียน เช่นจะพยากรณ์ การเดินทางแล้ว แปลวํา เดินทางไกลและนาน หากเป็นศัตรูดวงชะตาด้วยประการใดๆ ขยี้แหลก

ส่วนนิจมีหน้าที่เฉพาะ กินที่เฉพาะ อะไรๆ ก็เฉพาะ ไม่เรียก ... ไม่ขาน... ไม่วาน... ไม่ทํา หมกมุ่นสิ่งใดถอนตัว ด้วยความยากลําบาก การหมกมุ่นก็แล้วแค่เหตุ แล้วแต่สิ่งดี-เลว ทํานว่าจะต่ําก็ไมํต่ํา ก็ตามนี้ที่แถลงมาแหละ

ทางสากลดูเหมือนเขาจะว่า "ตก" เข้าใจเอาเองว่า จะตกในระบบของแสงอ่อน กําลัง นี่เป็นเรื่องได้ยินนํามาเล่า จริงมิจริงสืบๆ ดูก่อนยังมิใชํตัวแท้ แตํก็มีเหตุผลขัดแย้งว่าอุจจ์กับนิจมีลักษณะคล้ายกัน เนื่องจากอุจจ์นั้นใกล้แรงดวง อาทิตย์หรือแสงเบื้องบน ส่วนนิจนั้นใกล้แรงดึงดูดของโลก "แรงเหวี่ยง" จึงไม่เหมือนกันเพราะ อุจจ์รวดเร็วแน่นอนปรูด ปราด รับพลังงานถ่ายเทของพระเคราะห์ งานถ่ายเทของพระเคราะห์ ได้เมื่อมีกระแสร์พอแต่นิจ ... พ้นแรงเหวี่ยง... กดดัน ลากไปไหนมาไหนได้ช้า รับคุณภาพของกระแสพระเคราะห์ ทั่วไปได้ยาก จึงเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องค้นคว้าว่า เป็นไปแค่ไหน แล้วพยากรณ์ของทํานจะไม่เกิดการ "สดุด" ฉับไวในการตัดสินใจดี

อนึ่งต้องระวังพระเคราะห์เดิม กับพระเคราะห์จรให้ดี ความหมายต่างไปมากในแง่พยากรณ์ สุดแล้วแต่การเกี่ยวโยงสัมพันธ์ พระเคราะห์ต่างๆ ด้วย ท่านที่สังเกตุบ่อยจะทราบว่า คู่นิจ-คู่อุจจ์นี้เป็นคู่ธาตุสองคู่ คู่สมพลสองคู่ คู่ธาตุ นั้นเกี่ยวกับสันดานดาว รสนิยมร่วมกัน หมายถึงของคนละชนิด แต่มีผู้ชอบเหมือนกัน หรือพันธ์ไม้ คนละพันธ์ ชอบดิน และปุ๋ยอาหารอย่างเดียวกัน คู่ธาตุ คู๋สมพล จะแจกแจงแตกต่างดีเร็วไว้ละเอียด และยังผสมเรื่องได้อีกมาก คู่สมพลจะ บอกถึงกําลังดาว กําลังสรรพสิ่งที่จะมาสมติฐานกล่าวกัน ตั้งแตํชุมคนกลุ่มเล็กๆ จนถึงสังคมกลุ่มใหญํ ถึงบริษัทห้าง ร้าน โรงงานอุตสาหกรรม จนกองพลทหารตํารวจ กรมกองต่างๆ ตลอดจนความแน่นขนัดดารดาษทั้ง พืช สัตว์ วัตถุ ธาตุทั้งมวล ที่มันเป็นความมหาศาล ทั้งปวงยังกลําวได้ลึกซึ้งถึงกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์อีกด้วย

คยพบดวงสักห้าหกดวง ที่มีอาทิตย์เป็นและมี "ศักดิ์" ทางภาษาโหรว่าเป็นศรี(ซึ่งถือกันมากหากศรีเป็นตัวนิจนี่) แตํเขา,เธอ ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สมัยเงินแพงมาก ถึงสองครั้ง นี่คุยเทียบ อย่าไปเอาใจใส่เป็นบรรทัดฐานเลยเดี๋ยว เรื่องนิจ จะ "ค้าง" เสีย

เราคุยกันว่านิจเป็นอย่างไรมาอยํางไร จะจําไปใช้บ้างก็ไม่ห้ามหวง อย่าว่าเทวดามาสอนก็แล้วกัน ตําราใดไม่ เคยเขียนมา เท่าที่เห็นหากใครมีกรุณาบอกบุญด้วย จะได้คิดว่าเข้าช่องทางที่ถูกแล้ว

สมมุติว่าเสาร์เป็นนิจ กําเนิดพระเสาร์ ( ๗) เป็นคู่ธาตุกับเจ้าของเรือน (เรือนอุจจ์) ท่านที่เข้าใจดีแล้วก็ไม่สับสน หากนักศึกษาใหม่ก็ต้องรําคาญนิดๆ ละ เพราะยังไม่มีคําใหม่กวํานี้มาเรียกเรือนอุจจ์ (หรือจะเป็นเพราะผู้เขียนไมํเข้าใจก็ไม่รู้ละ) เราเรียกว่าผู้ปกครองเรือนจะดีไหม? (ขอปรึกษาก่อน) เพราะฐานะแท้ของเรือนเขามีอยู่แล้ว "คือเจ้าเรือนเกษตร อังคาร" โบราณท่านมีเหตุผลที่จะยกตําแหนํงอธิบดี(อุจจ์) ให้แก่อาทิตย์ ไปปกครองเรือนอังคาร แล้วถือวํามีกําลัง ประหนึ่ง ราชาที่อุดมทะแกล้วทหาร เกริ่นยาวไปหน่อยไหม....

เมื่อพระเสาร์(๗) มาเป็นนิจเรือนนี้ ว่ากันตามพื้นฐานที่จะเสียเปรียบแย่ละซี หากไปตกตําแหนํงที่นั่นก็หมือนตก กระป๋องนํะ ต้องรับใช้เขาวุ่นวายไปเลย สตรีที่มีดาวนิจดวงนี้ เธอจะทนทรมานสังขารเพื่อผัวแก้ว ก็มีแต่จะลบหลู่ หากมีพระเคราะห์ หลักดวงอื่นกระกันดี ค่อยยังชั่วหนํอย แต่ต้องรูปโฉมแพ้เจ้าประคุณสามี(นี่บังคับราศีเฉพาะอุจจ์ นิจ แลก เรือนกันพอดี) มิฉนั้นลัคนาที่เล็งกันอยูํแล้ว จะเบาความเคี่ยวเข็ญลงหนํอย ก็ตรงมีพระเคราะห์ พระราหู(๘) ที่เป็นคู่มิตรตั้งรับ เชิงมุมไว้พอดี เช่นอยู่ราศีเมษร่วมหรือเล็งกันในราศีตุลย์ ถึงอย่างไงๆ ก็บ้อเอ้ง เรื่องคู่ไม่ได้ดั่งใจเลย หากคิดตามฐานะ เพื่อนฝูง ก็แย่ ศักดิ์ศรีดีหนํอยตรงได้เลื่อนฐานะสูงกว่า ความเป็นอยู่เกียรติสกุลหรูกว่า อย่างนี้แหละ ... สรุปว่าเมื่อเรา 6 ไปเป็นเพื่อนกับเศรษฐี อย่างดีเราก็แค่กินอยู่สบาย การเอาอกเอาใจเราต้องทําหน้าที่ อยํางน้อยความรู้สึกก็ฟ้องตัวเอง ว่าเราด้อยกว่าเขา ไม่มีอะไรทําจะอึดอัด จนแคํจุดบุหรี่ให้เขาสูบก็ยังดี

ในมุมตรงกันข้าม หากพระเคราะห์ พระอาทิตย์( ๑) กลับไปเป็นนิจ ถ้ารวมเจ้าเรือนคือ พระเสาร์ ๗ เจ้าชะตานี้จะเป็นบุคคลที่จะถังแตก อย่างไร ก็วางทําเป็นบ้า ... เพราะอะไรหรือ... เกิดจากความเคยตัวนั่นแหละ หยิ่งในเรื่องที่เป็นอดีต ฝันไปลมแล้งๆ โดยมากทํานที่เกิดมามีคู่ธาตุนี้ กุมลัคน์ อยู่ในราศีตุลย์ หะแรกเมื่อยังเยาว์ความเป็นทารก จะอุดมสมบูรณ์ ด้วยข้าทาษ บริวาร แต่ภายหลังไม่เจริญเทําเคย ด้วยเหตุพ่อแมํพี่น้องทําลายทรัพย์เดิมไปหมด แต่เจ้าความภูมิใจลมๆ แล้งๆ ยัง ค้างอยูํในเส้นเลือด จนกลายเป็น "ปมด้อย" เพราะปมโด่งนั้นไม่เด่นเท่าควร

อนึ่งพระเคราะห์หนึ่งที่เป็นนิจนั้น หากรวมเสาร์อยูํ แม้ผู้นั้นจะตกต่ําเพียงไร ก็ไม่อับเฉานักจะมีคนคอย พะเน้าพะนอรับใช้ เพราะได้คู่ธาตุ หากยังเกิดกําลังได้พระเคราะห์คู่มิตรคู่ใดคู่หนึ่ง โยคด้วยเป็นหลัง ก็จะถูกยกระดับให้ เด่นปร๋อไปเลย และดีเด่นกวําเกษตรที่ไร้คูู่โยคด้วยซ้ำ "

โยค" คือ โชคเป็นเรื่องที่มาของกลุํมสังคมเล็กๆ จนถึงสังคมหมู่ใหญ่ จะอํานวยความสะดวกอะไรดีขึ้น เชํน เราพลัดถิ่นไปในที่แห่งหนึ่งขาดญาติสนิทมิตรสหาย แต่หากที่ๆ เราไปนั้นชนกลุ่มนั้นอัธยาศัยดี ก็ทําใหเราได้รับการ เกื้อกูลช่วยเหลืออยิาง "มิตจิต" แสนดี

ฉนั้นปราขญ์ทํานได้สร้างคู่มิตรไว้ หากดาวไม่มีมุมคู่มิตร แต่ในสังคมทั้งใกล้ไกลกลับเด่น ก็พาความเจริญมาสู่ ตัวเจ้าชะตาอย่างดี หากมีคู่มิตรแต่ไม่อยู่กินมุมกันเช่น เป็นสี่-หก-แปดแก่กัน ดาวคู่มิตรเหล่านั้นมาเจอกันทีไร เจ้าชะตา เป็นต้อง จอด เพราะเพื่อนทุกคราว นี่เลยกลายเป็นอันตรายในจุดคู่มิตรอย่างแรงไป เราจึงมองไม่เห็น เชื้อโรคตัวร้าย ที่มาสิงสู่ในร่างกาย ไพล่ไปมองผีปอบ ผีห่า ที่ไม่เคยพบมาก่อนด๎วยซ้ํา วํารูปรํางเป็นอยํางไร กลับมาสร๎างจินตนาการ วํา มันคงมีหัวมีหาง ... บาปเคราะห์เปล่าๆ ปลี้ๆ (บาปที่โทษผีและเคราะห์ ที่ไม่อาจรักษาโรคร้ายให้หายได้เลย) จนกว่า หมอจะมาชี้แจงได้วํา "นี่ใกล้ตายแลวนะ หากไม่ตัดเนื้อร้ายทิ้งเสีย เรื่องก็ต้องเสียเนื้อ บัดพลีความโงํ" 

สรุปแล้วหากต้องการทาษดี ธาตุมิตรดี ก็ต้องรู้และเพ่งมองจุดคู่ธาตุ แล้วพิจารณาแต่คู่นี้ให้มาก ส่วนเรื่องนิจ แล้วแต่รูปดวงรูปการณ์ดังกล่าวแล้วเบื้องต้น

ระบบร่างกายเราวิปริตไปอยํางหนึ่งก็พิจารณาดูนิจคูํธาตุ สิ่งดี-เลวในพืช, สัตว์, คน, ต้นตออยูํที่ธาตุ ธาตุไม่ดี คู่นิจที่เป็นคู่สมพลก็ยังดี เป็นเรื่องต้องต่อสู้แก้ตัวได้ภายหลัง เพราะเป็นกําลังใจ , กําลังกาย, กําลังมิตร, กําลังทรัพย์, มาเป็นพลังแรง รวมไปถึงกําลังกิจการ คั่งค้างอีกด้วย ในตอนต่อๆไป ก็มีรูปเรื่องคล้ายๆ คู่นิจมาสู้ท่านอีก หากท่านไม่ ติดเรื่องอื่นอยู่ก่อนแล้ว ทํานจะทราบเหตุผลว่า ทําไมเมื่อพระเคราะห์โคจรมากระทบกันแล้ว บางทีเรื่องก็เกิด บางทีก็ไม่ มีอะไรเกิดขึ้นเลย นิจ , ปร, ก็เหมือนกัน เมื่อไม่มีสื่อมีอนาคต (กล่าวคือ ไม่มีโยค , รํวม, เล็ง) เหตุดีร้ายทั้งหลายก็ไม่ เกิดขึ้นแก่เรา หรือเกิดครู่เดียว เดี๋ยวเดียว จนลืมไปเสีย

บางครั้งมีสื่อเช่นสมมุติว่า เราถูกเพื่อนชวนไปถํายทําหนัง ได้ยินเสียงล้านๆๆๆ แล้วก็อยากเอาเยี่ยงเขา แต่เรา ขาดธาตุ ทําให้เราขาดศิลป์ความรู้ ความเข้าใจในรสนิยมท้องตลาด เราตั้งจุดมุ่งเพียงพระเอก -นางเอก หลํอ สวย ถูกใจคนดู มิได้ห่วงตัวประกอบที่เชิดชูบุคคลิกนางเอกพระเอกให้เด่นขึ้น เรื่อง...ก็จบลงด้วยการขาดทุนมหาศาล บังเอิญ มีศิลป์ชํานาญมากด๎วย แตํขาดกลังทรัพย์ กําลังมิตรสนับสนุน กําลังงานก็ไม่เรียบร้อย

ฉะนั้นคูํมิตรที่ไม่ถูก "โยค" ถูกจังหวะ พอประสานกันเข้า จึงยํอยยับด้วยเพื่อนนานาประการทั้งปวง มิฉะนั้นก็อยู่ ในประเภท "ตีงูให้กากิน หากินแล้วบินหนี" โดยรู้เทําไม่ถึงการณ์

อันเกณฑ์ต่าง อุจจ์, เกษตร, ราชาโชค, มหาจักร, และอุจาวิลาส เกณฑ์เหล่านี้ทําให้ดวงมนุษย์เด่นตามนี้เสมอ ไปหรือ? ถ้าเช่นนั้น มหากษัตริย์, มหาเศรษฐี, มหาโจร, ประธานาธิบดี, และคนยากไร ทําไมจึงไม่ดีเท่ากัน ไมํทราบวําในประสพการณ์ของโหร หากมีคนถามเชํนนี้ท่านจะตอบอยํางไร จึงจะให้ผู้ถามเหลํานั้นเกิดความเข้าใจ สําหรับผู้เขียนไม่เคยเป็นผู้ตั้งคําถาม เลยไม่ได้ยินคําตอบที่แนบเนียน หรือคําตอบแบบกําปั้นทุบดินนั้นได้ มาประสพปัญหานี้ด้วยตัวเอง จําเป็นต้องนึกเรื่องมาตอบทําน เป็นส่วนความคิดตัวเองเป็นเอกเทศ

"คําพระบาลีท่านว่า, วิญาณ พีช " อันว่าชีวิตมนุษยนั้น อุปมาดั่งพืชพันธุ์ตําง ๆ ในผืนที่แห่งเดียวกัน เราได้หว่านเมล็ดผักลงไปพร้อมกัน ในผืนที่ๆเราได้ปรุงแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว ใส่ปุ๋ยแล้ว จากนั้น เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ได้งอกเกือบพร้อมกันทั้งหมดขึ้นมา เหตุใดหนอ ... มันจึงอ้วนบ้างผอมบ้าง ลีบเรียวเช่นนั้น "รึว่าเบียดกัน... /.... ก็ ... เบียด เช่นเดียวกันอยู่แล้วนี่ พืชบางชนิดปลูกที่เดิมไมํงาม ครั้นย้ายที่ใหม่ เกิดเหมาะกับความต้องการของมันๆ ก็ต้อง เจริญเติบโตแข็งแรง โดยไมํต้องไปเร่งปุ๋ยด้วยซ้ำ

เช่นเดียวกับดวงชะตา หากพระศุกร์(สมมุติ) เป็นนิจ หากมีคู่ธาตุ พุธ มีอาทิตย์ คู่สมพลของศุกร์ มีจันทร์กุม หรือเป็นสามหรือสิบเอ็ดแก่ลัคนา เท่านี้ดวงท่านก็ถูกยกระดับปร๋อเป็นถึงคุณหญิงก็ยังไหว ... ใครมีเกษตรอุจจ์ถูกต้องก็ ช่าง ไม่น่ากลัวอะไร จะเสียตรง "ลอย" จนจมไม่ลงด้วยเพื่อนฝูงพะนอมาก อาจกลายเป็น ค้างค้างฟ้าได้


ที่มา : https://sunwasa.files.wordpress.com/


# คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง .. ได้ที่ 
#บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#
baankhunyai.com

Visitors: 172,249