ตำราโหรไทย
ตำราโหรไทย โดย... ประทีป อัครา
นักโหราศาสดร์ที่ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดยอาศัยหนังสือและตำราเกือบทุกท่าน เมื่อศึกษาๆไปแล้วมักจะหนีไม่พ้นจากการมาถึงจุดบันจบจุดหนึ่งซึ่งจะต้องรำพึงรำพรรณ์เป็นความ ทำนองเดียวกันว่า "ยิ่งเรียนทำไมยิ่งโง่"
และแล้ววิชาโหราศาสตร์ก็ได้กลายเบื้นวิชาประหลาดที่ "ความรู้" กับ "ความสามารถ"มักจะแยกตัวจากกันอยู่เสมอ เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันจะรวมกันได้สนิท
ผู้ศึกษาที่ได้อ่านตำราเล่มแรกพอเข้าใจควานหมายของดาวและภพบ้างแล้ว ส่วนมากจะสามารถนำเอาความเข้าใจนั้นไปใช้พยากรณ์ได้โดยสะดวกใจ ไม่สับสน ถึงแม้จะผิดบ้างก็ไม่ใคร่จะถือเบิ๋นเรื่องสำคัญนัก เพราะคิดเสียว่าเพิ่งจะเริ่มเรียนเริ่มรู้ แต่ถ้าไปพยากรณ์ถูกต้องเข้าก็เกิดความยินดีปรีดาปลื้มอกปลื้มใจทำให้กระตือรือร้นที่จะขวนขวายหาความรู้ให้กว้างขวาง เพื่อจะใด้พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นต่อไป
เมื่อศึกษาตำราเล่มที่๒ เล่มที่๓ เพิ่มขึ้น เวลาพยากรณ์ก็จะต้องระมัดระวังพิจารณาหลักเกณฑ์ที่ได้เรียนรู้ใหม่ โดยใช้ความรอบคอบเพิ่มขึ้นด้วยไม่ง่ายเหมือนตอนแรกที่รู้ตำราแค่เล่มเดียวและมีกฎยึดถือเพียงกฎเดียว เมื่อยิ่งศึกษาตารามากขึ้นเป็น ๕เล่ม ๑๐เล่ม หลักเกณฑ์ในการพยากรณ์ก็เพิ่มขึ้นเป็น ๕หลัก ๑๐หลัก ทำให้เกิดความสับสนจนในที่สุดเลยไม่กล้าพยากรณ์เพราะเหตุที่ในตำราไม่ใด้ให้กฎแบ่งแยกไว้ว่าหลักไว้ไหนว่า หลักไหนสำคัญกว่าหลักไหน ควรใช้หรือไม่ควรใช่ข้อไหนในที่เช่นไรและเมื่อไร
ผลจากการศึกษาในทำนองนี้ทำให้เป็นที่ประจักษ์กันในวงการโหราศาสตร์ทั่วๆ ไปว่าแม้จะศึกษาตำราเดียวหรือครูเดียวกันก็ตาม จะอาศัยได้เพียงเอาไว้หารือกันเท่านั้น ถ้านำดวงๆเดียวกันแยกกันไปพยากรณ์ หวังได้ยากเหลือเกินที่จะได้คำพยากรณ์เหมือนกัน คนหนึ่งจะว่าไปอย่างหนึ่ง อีกคนจะว่าไปอิกอย่างหนึ่ง แม้แต่ครูกับศิษย์พยากรณ์ดวงๆ เดียวกัน ถ้าให้แยกกันไปพยากรณ์แล้วก็ยังมักจะพยากรณ์ไปเสียคนละเรื่องอีกเหมือนกัน
วิชาโหราศาสตร์นั้นมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนไม่ต่างจากศาสตร์อื่นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อนักโหราศาสตร์ได้เรียนกฎเกณฑ์มาด้วยกันแล้ว จะเป็นเพื่อนกับเพื่อนหรือศิษย์กับครูก็จะต้องรู้เท่ากัน และต้องพยากร์ดวงเดียวกันในจุดเดียวกัน เช่นเดียวกับผู้ี่เรียนวิชาเลขคณิตมาด้วยกัน การทำเลขโจทย์เดียวกัน จะต้องทำวิธีเดียวกันและต้องได้คำตอบเหมือนกันทั้งเพื่อนทั้งครูและศิษย์จะแตกต่างกันไปไม่ได้
เช่นโจทย์เลขให้มาว่ามีเงินอยู่ ๒ บาท เก็บได้อีก ๕ บาทดังนี้ ทุกคนก็จะต้องทำเลขข้อนี้ ด้วยวิธีบวก และจะต้องได้ผลตรงกันว่าจะมีเงินรวมกัน ๗ บาท
หรือตั้งโจทย์ว่าซื้อสมุดราคาเล่มละ ๒ บาท มาจำนวน ๕ เล่ม ทุคนก็จะต้องทำเลขข้อนี้ ด้วยวิธีคูณเหมือนกัน และต้องได้คำตอบตรงกันว่าราคาสมุดทั้งหมดนั้นเป็นเงิน ๑๐ บาทเป็นต้น
มีปัญหาถามกันอยู่เสมอว่า " เพราะอะไรเมื่อเรียนรู้และเข้าใจ ตำราและหลักวิชาทุกอย่างดีตลอดแล้ว จึงยังพยากรณ์กันไม่ใคร่ได้"
ท่านผู้ใหญ่ในวงการโหรได้เคยอธิบายให้ฟังว่า "เพราะรู้ตลอดไม่จริง วิชาโหรษสาสตร์นั้นท่านได้แยกไว้เป็น ๒ ภาค เป๋น " ภาคตำรา" ภาคหนึ่ง และเป็น"ภาคมุขปาฐ" ภาคหนึ่ง
การแยกตำรานี้ท่านได้ยอกให้ทราบเป็นทำนองบอกใบ้ไว้ในนิทานเรื่องราหู ซึ่งรู้กันแพร่หลายแม้ผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในวิชาโหราศาสตร์เลยก็ยังรู้
ราหูนั้นก็คือ "ตำราโหราศาสตร์" นั่นเอง ราหูท่อนบนเทียบได้กับตำราที่เห็นกันได้ทั่วๆไป ความรู้ที่มีอยู่ในตำราจึงเท่ากับความรู้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น การรู้และเข้าใจนพียงตำรา จึงจะว่าเป็นการรู้และเข้าใจวิชาโหราศาสตร์ตลอดแล้วยังไม่ได้ ต้องหาความรู้อีกครึ่งหนึ่งมาให้ครบตัวจึงจะเรียกได้ว่ารู้ตำราตลอดหรือรู้ครบคัมภีร์
จากการได้ศึกษาค้นคว้ามาพอสมควร ผมได้พบว่าหลักวิชาโหราศาสตร์เกือบทุกตอนมีอยู่ ๒ ท่อน แต่ขาดหายไปเสียหนึ่งท่อน มีบันทึกไว้ให้เรียนให้รู้กันในตำราเพียงท่อนเดียว จริงๆ
เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ท่านเห็นจริงในข้อนี้ จะขอนำเรื่อง "ทักษา" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมาแยกแยะให้ดูสักอย่างว่ามีอยู่ ๒ ท่อนอย่างไร ?
อันหลักพยากรณ์ทั้งหลายประดาที่มิอยู่ในตำราโหราศาสตร์ไทยนั้น ท่านถือว่าหลักเรื่อง"พระเคราะห์คู่" " เป็นหลักที่สำคัญมากหลักหนึ่ง โดยโดยเฉพาะ "พระเคราะห์คู่ธาตุ" กับ "พระเคราะห์คู่สมพล" นั้นถือว่าเป็นพระเคราะห์คู่ที่สำคัญที่สุดทีเดียว
เมื่อพิจารณาความสำคัญของดวงดาวในหลักของ "พระเคราะห์คู่" ก็จะต้องพิจารณา พระเคราะห์คู่กันเพียง ๘ ดวง ซึ่งเรียกกันว่า "อัฐเคราะห์"
เมื่อเอาดาวพระเคราะห์ทั้ง ๘ ดวงมาเขียนเรียงลำดับกันเป็น 6 แถว แล้วจับเป็นคู่ๆ ในทางทะแยง ดังนี้
ถ้าเปลี่ยนการลำดับพระเคราะห์ในแถวล่างเสียใหม่ โดยเรียงพระเคราะห์ย้อนกลับ ดังนี้
แล้วจับเป็นคู่ๆ ในทางทะแยงแบบเดียวกับวิธีข้างต้น
จะได้คู่ธาตุ ๒ คู่ คือ ๑ กับ ๗ และ ๔ กับ ๖
และได้คู่สมพล ๒คู่ คือ ๒ กับ ๘ และ ๓ กับ ๕

เมื่อนำพระเคราะห์มาเรียงกันเป็น ๒ แถว โดยจัดให้แถวบนและแถวล่างได้คู่กันเป็นคู่ๆ

เมื่อนำลำดับพระเคราะห์แถวล่างคือ ๗ ๕ ๘ ๖ มาเรียงใหม่ในทางย้อนกลับ ดังนี้

จะเห็นได้ว่าพระเคราะห์แถวล่างและแถวบน เมื่อจับคู่กันแล้ว จะได้คุ่สมพลกันพอดีทุกคู่
จากการลำดับพระเคราะห์ดังกล่าวข้างต้น ท่านได้นำเอาพระเคราะห์คู่ธาตุมาบรรจุเข้าไว้ในแผนภูมิซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายว่า " ทักษา" ดังนี้

แต่การลำดับพระเคราะฆ์ดังได้แสดงให้ดูเป็นชั้นๆมานั้น ท่านคงจะเห็นแล้วว่าได้ก่อให้เกิดพระเคราะห์คู่ " แฝด" กันมา ๒ คู่ คือ "พระเคราะห์คู่ธาตุ" กับ " พระเคราะห์คู่สมพล"
ท่านคิดว่าน่าสงสัยหรือไม่ว่า เพราเหตุไร เมื่อนำมาบรรจุเข้าแผนภูมิ "ทักษา" จึงปรากฎ "พระเคราะห์คู่ธาตุ" เพียงอย่างเดียว " พระเคราะห์คู่สมพล" ซึ่งเป็นคู่ฝาแฝดไปไหน น่าที่จะมีแผนภูมิทักษาอีกแบบหนึ่ง คือ
"ทักษาคู่สมพล" นับได้ว่าเป็นเรื่องของโหรโดยเฉพาะ เพราะจะต้องมีความรู้ในวิชาโหราศสตร์และเข้าใจในการอ่านดวงชะดามาก่อนจึงจะใช้ได้ ไม่ง่ายเหมือนกับ "ทักษาคู่ธาตุ" ซึ่งเพียงแต่รู้วันเกิดอย่างเดียวก็สามารถใช้พยากรณ์ใต้หลายแบบหลายวิธี
วิธีการใช้ "ทักษาคู่สมพล" มีข้อมูลละเอียดหลายประการที่จะต้องอธิบายประกอบกับดวงชะดาทุกตอนจึงจะเป็นที่เข้าใจใด้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาและหน้ากระดาษมาก จึงขอเพียงแนะนำตัว "ทักษาคู่สมพล" ซึ่งเป็นอีกท่อนหนึ่งของทักษาซึ่งเปรียบเสมือนร่างกายอีกท่อนหนึ่งของราหูให้เป็นที่รู้จักกันก่อนว่ายังไม่สูญ เพียงแต่หายไปจากการรู้เห็นโดยทั่วๆ ไปเท่านั้น ในครั้งนี้จะขอกล่าวถึงหลักพิจารณา "ทักษาคู่ธาตุ" บางประการก่อน เพื่อเป็นการตอบคำถามของคุณ "กิ่งแก้ว" ในคอลัมน์ "ปัญหาโหร" ในโอกาสเดียวกันด้วย
คู่ศรี เป็นคู่แสดงถึงการช่วยเหลือ เกื้อกูล
ข้าพเจ้าได้แต่หวังไว้ว่า ปัญญาชนที่สนใจในวิชาโหราศาสตร์จะสามารถก้าวข้ามสาเหตุ สำคัญ ๓ ประการอันเป็นจุดอับเฉานี้ไปได้




