ยาย
ยาย โดย อาจารย์ประทีป อัครา
การกำหนดความหมายของภพขึ้นในจักรราศี โดยถือเอาจุดลัคนาเป็นจุดตั้งต้นนั้น เท่าที่ปรากฎอยู่ในตำรับและทราบๆกันก็มีอยู่เพียง 12 ภพ อันเริ่มต้นด้วยภพ ตนุแล้วไปสิ้นสุดลงที่ภพวินาสน์
ความหมายของภพทั้ง 12 ภพนั้น ที่มีความหมายเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ใช้ๆกันอยู่เพียง ๗ ภพคือ
ภพตนุ อันหมายถึงตัวเจ้าชะตา ๑
ภพสหัสชะ อันหมายถึงเพื่อนฝูง มิตรสหาย ๑
ภพพันธุ อันหมายถึงวงศาคณาญาติ ๑
ภพปุตตะ อันหมายถึงบุตรหรือผู้เยาว์ ๑
ภพอริ อันหมายถึง ศัตรู คู่แข่งขัน ๑
ภพปัตนิ อันหมายถึง บุคคลต่างเพศ คนรักคู่ครอง ๑
ภพศุภะ อันหมายถึง ผู้ใหญ่ หรือผู้ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชู ๑
(บางตำราถือเอาภพสหัสชะเป็นภพพี่น้องร่วมกำเนิด และถือ เอาภพลาภะเป็นภพเพื่อน แต่จะได้ผลเพียงไร ผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ใช้)
แต่โดยข้อเท็จจริงนั้น ประเภทของบุคคลที่ชีวิตประจำวันของเราจะต้องเกี่ยวข้องด้วยยังมีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ภพเกี่ยวกับบุคคลที่กำหนดไว้เพียง ๗ ประเภทจึงไม่เพียงพอกับความหมายที่จะต้องพยากรณ์
ในการเสนอบทความทำนองนี้ ผมเคยถูกพูดแบบหยิกแกมหยอกว่า ผมนำเอาแต่เรื่องที่พยากรณ์ถูกมาเสนอ เหมือนกับจะโฆษณาด้วยว่าพยากรณ์ได้เก่งและแม่นยำ ที่พยากรณ์ผิดๆ ไม่ยักเรียนมาเล่าสู่กันฟังบ้าง-ช่างเป็นวาทะภาษาไทยที่แปลเป็นไทยด้วยความยากลำบากอักโข
อันการเสนอข้อเรียน บทความหรือหลักเกณฑ์แห่งวิชาใดๆนั้น เป็นที่เข้าใจกันโดยสามัญสำนึกว่า ผู้เขียนจะต้องนำเอาสิ่งที่ได้กันคว้าและทดสอบได้ผลแล้วมาเสนอ เพื่อเป็นการเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์แก่การศึกษากว้างขางออกใบ ไม่ใช่นำเอาเรื่องไร้สาระและไร้ผลมากล่าวให้เป็นการเสียเวลาและเปลืองหน้ากระดาษ
ในการเสนอบทความเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นำเอาหลักเกณฑ์ซึ่งได้ทดสอบมาแล้วและได้ใช้พยากรณ์ปรากฎผลถูกต้องมาแล้วมาเสนอ ด้วยความประสงค์ที่จะให้หลักเกณฑ์นี้ได้ เป็นที่รู้สำหรับจะได้ช่วยกันนำไปทดสอบ พิสูจน์ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดผลกว้างขวางเเละแน่นอนยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ไม่ใช่เพื่อแสดงหรือโฆษณาตัวเองว่าพยากรณ์ได้เก่งและแม่นย่ำ โดยไม่เคยพยากรณ์ผิดพลาดเลย
ในการสนทนาและตรวจสอบดวงชะตากันครั้งหนึ่งเมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๕ ผมได้พบสิ่งที่ทำให้เกิดความสนใจมากจนต้องบันทึกไว้เป็นพิเศษ เพราะการที่ได้ไปพิจารณาดวงชะตาเด็กชายหนึ่งเข้า ชัณษากำเนิดและรูปดวงชะตของเขามีดังนี้
(เลขนอก นอกดวงชะตาเป็มตำแหน่งดาวจรในกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๕)
ในขณะที่ตรวจสอบพยากรณ์ดวงชะตากันนั้น คำนวณอายเจ้าชะตาได้ ๑๔ มี ๗ เดือนถือเป็นอายุย่างเข้าปีที่ ๑๕ โดยหลักเกณฑ์ทางทักษาพยากรณ์ อายุร้องเขาตกภูมิศุกร์ เพราะฉะนั้นหัวหน้าฝ่ายให้โทษ จึงตกเป็นหน้าที่ของราหูในฐานะที่เป็นกาลกิณี และหัวหน้าฝ่ายให้คุณตกเป็นหน้าที่ของดาวอังคารในฐานะที่เป็นศรี
สิ่งที่ทำให้ผมเกิดสดุดใจมากที่สุดการพิจารณาดวงชะตานั้นก็คือการได้สังเกตเห็นราหูโครรร่วมกับดาวศุกร์ทับอังคารและเสาร์เดิม ในราศีกรกฎภพก้มมะ
ราหูนั้นโดยปกติธรรมดาก็เป็นดาวใหญ่ฝ่ายบาปเคราะห์ที่มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชรุนแรงไปทางด้านให้โทษมากกว่าให้คุณอยู่แล้ว ในขณะที่โคจรมาทับดาวคู่บาปพระเคราะห์นั้นไม่เพียงจะเพิ่มอำนาจความรุนแรงในด้านร้ายให้แก่ตัวเองด้วยความเป็นกาลกิณีแต่เพียงอย่างเดียว ยังแถมมีดาวพระศุกร์เจ้าเรือนเดิมในภพมรณะมาสนับสนุนเพิ่มกำลังให้อีกด้วย
ราหูในพื้นดวงเดิมนั้นสถิตอยู่ในภพมรณะซึ่งมีพระศุกร์เป็นเจ้าเรือน การร่วมกันของดาวคู่ที่มีสัมพันธไมตรีกันมาแต่ตั้งเดิมอย่างแนบแน่นในลักษณะที่มีความหมายด้านร้าย อย่างเพียบพร้อม จึงเป็นสิ่งสดุดใจที่ควรแก่การสนใจเป็นอันมาก
พิจารณาสถานะของดาวในราศีที่ถูกราหูทับ แม้จะมีดาวเสาร์ดวงหนึ่งรองรับอยู่ในฐานะคู่มิตร ก็หวังผลดีทางการปรนอะไรไม่ได้ เพราะอังคารที่ร่วมอยู่ด้วยนั้นเป็นจุดต่อต้านที่คงจะไม่ยอมให้มิตรภาพระหว่างเสาร์กับราหูเกิดขึ้นได้โดยสะดวก
ราหูกับอังคารนั้นแม้จะถูกจัดว่าเป็นคู่ธาตุกัน ก็ไม่ผิดหมากับแมวซึ่งมีทางที่จะเป็นมิตรกันได้อยู่ทางเดียวคือได้ถูกเลี้ยงให้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่หย่านม เช่นเดียวกับราหูกับอังคารที่จะผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนในฐานะคู่ธาตุก็มีอยู่เฉพาะในกรณีดาวคู่นี้ได้ร่วมกันมาแต่ในดวงกำเนิดเท่านั้น
พิจารณาผลที่จะเกิดจากอำนาจการทับของราหูและศุกร์ โดยสังเกตตำแหน่งจรของเสาร์และอังคารที่ถูกทับ
เสาร์เป็นเกษตรภพที่ ๔ อันได้แก่กพพันธุซึ่งหมายถึงญาติ ในขณะปัจจุบันกำลังโคจรอยู่ในราศีมังกรเรือนเกษตร์ ของตัวเอง นับว่าอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งพอที่จะวางใจได้ เพราะเสาร์จะคงอยู่ในราศีนั้นอีกนาน
ส่วนดาวอังคารแม้จะมีความหมายครอบคลุมไปหลายภพ คือมีความหมายถึงทรัพย์สินสมบัติเงินทองในฐานะที่เป็นเกษตร์เจ้าภพกดุมภะ ๑. มีความหมายถึงบุคคลต่างเพศหรือคู่ครองในฐานะที่เป็นเกษตร์เข้าภพปัตนิ ๑. มีความหมายถึงการเงิน, อาชีพหรือการศึกษา ในฐานะที่สถิตอยู่ในภพที่ ๑๐. อันเป็นภพกัมมะของดวงเดิม ๑. แต่ในกรณีนี้อังคารมีความหมายเน้นหนักอยู่ที่ภพปัตนิมากกว่าภพอื่น
ถ้าเสาร์และอังคารอยู่ในราศีธาตุดินในภพที่มีความหมายถึงที่อยู่หรือบ้าน เสาร์จะยังความหมายว่าไม้ แต่อังคารจะมีความหมายนอกจากเหล็กแล้ว ยังเป็นวัตถุประเภทที่มีความแข็งและทนอีกด้วย จึงแปลเป็นความหมายได้ว่า "บ้านของเจ้าชะตาเป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้"
ถ้าเสาร์และอังคารอยู่ในราศีธาตุลม ในภพที่มีความหมายถึงที่อยู่หรือบ้าน แสดงว่าเสาร์และอังคารนั้นลอยอยู่ในอากาศ เสาร์นั้นตำราท่านว่าไว้ว่า "เสาร์อิศรเอกงู นามนาค" หมายความรวมถึงสัตว์ เสาร์จะได้แก่สัตว์ประเภทที่มีลำตัวยาวเช่นงูหรือนาก ฉะนั้นดาวเสาร์จะหมายถึงลักษณะของวัตถุ จะหมายถึงของที่มีลักษณะยาวๆ เป็นพื้น เช่นเชือกหรือลวดเป็นดาวอังคารนั้น นอกจากแปลว่าเครื่องจักร์ เครื่องยนตร์ เหล็กหรือของแข็งแล้ว ยังแปลเป็นอย่างอื่นได้อีกมากมาย รวมทั้งของแหลมของคมด้วยเช่นในกรณีที่กล่าวถึงนี้ ซึ่งพอจะผสมเป็นความหมายได้ว่า "ภายในบริเวณบ้านของเจ้าชะตา (ภพ) มีสิ่งยาวๆ ที่มีของแหลมๆ คมๆ ประกอบ (ดาวเสาร์กับดาวอังคาร) ลอยอยู่ (ธาตุของราศิ) เท่ากับ "บ้านของเจ้าชะตานั้นเต็มด้วยลวดหนาม
นอกจากนี้เพียงดาวเสาร์และอังคารเพียงคู่เดียว ยังจะแปลเปลี่ยนความหมายไปได้อีกกว้างขวางเมื่อภพและธาตุราศีเปลี่ยนไป
เฉพาะภพเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องอาศัยพระเคราะห์มาผสม เราก็สามารถที่จะหมุนที่พลิกแพลงให้เกิดความหมายขึ้นได้อย่างไม่รู้จบสิ้น ผมอยากจะกล่าวว่า แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ก็ตาม ถ้าหากอักษรศาสตร์สามารถผสมตัวหนังสืออ่านได้ โหราศาสตร์ก็สามารถอ่าน ผสมธาตุ และผสมภพในจักรราศีอ่านใด้เช่นเดียวกัน
อันที่จริงที่ผมนำเอาภพที่ ๗ หรือภพบัตนิมาแปลเป็นความหมายว่า "ยาย" ในกรณีเด็ก ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ไม่ได้นอกครูหรือนอกลู่ นอกทางแต่อย่างใดเลย เพราะตามหลักเกณฑ์ที่ใช้อยู่ทั่วไปก็ถือกันว่า ภพที่ ๔ จากลัคนาอันได้แก่ภพพันธุนั้น นอกจากจะแปลว่าญาติแล้ว ยังหมายถึง "แม่" อีกด้วย ด้วยหลักที่ว่าภพที่ ๔ จากลัคนาเป็นภพแม่ของเจ้าชะตา ฉะนั้นภพจากภพที่ ๔ อันได้แก่ภพที่๗ จึงเป็นภพแม่ของแม่ ซึ่งได้แก่ "ยาย" นั่นเอง
ในเรื่องเกี่ยวกับความหมายในภพนี้ เคยมีผู้ให้ความเห็นว่า ภพที่ ๕ จากลักนาเป็นภพปุตตะของลัดนา ภพนั้นหมายถึงบุตรหรือลูกของเจ้าชะตา และภพลัคนานั้นเป็นภพที่ ๕ เมื่อเริ่มนับจากภพศุภะคือภพที่ ๙ เพราะฉะนั้นเมื่อภพลัคนาเป็นปุตตะของภพที่ ๙ ภพที่๙ จึงเป็นภพ"พ่อ" ต่อของเจ้าชะตา ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันอยู่ และด้วยหลักเกณฑ์อันนี้จึงมีผู้แย้งว่าภพปัตนิของภพที่ ๓ นั้นเบี้นภพบัดนิของภพที่๙ เพราะฉะนั้นภพที่๓ จึงควรจะเบ็นภพ "แม่" ไม่ใช่ภพที่๔ ซึ่งปรากฏว่าได้มีผู้ใช้กันอยู่บ้าง
สำหรับผมเองยังยิดถือและใช้ภพที่ 4 เป็นภพ "แม่" อยู่ ด้วยเหตุผลตามความเข้าใจและตามผลแห่งการค้นคว้าของผมว่า คำว่าญาดิจะหมายถึงบุคคลที่รักใคร่กันสนิทหรือใกล้ชิดกันโดยสายเลือด ซึ่งในชีวิตของคนเราจะมีใครที่จะรักใคร่เราสนิทหรือมีสายเลือดใกล้ชิดกับเราเกินปีกว่าแม่เห็นจะไม่มีอีกแล้ว
อนึ่งในการกำหนดความหมายต่าง ๆ ในจักรราศีนั้น ท่านกำหนดขึ้นโดยถือเอาราศีเมษเป็นจุดตั้งต้น ภพที่๙ เป็นราศีเพศชาย ภพที่๔ เป็นราศีเพศหญิง ก็น่จะเป็นผลจากการค้นคว้าของบุรพาจารย์มากอยู่
ที่ผมยังไม่ปลงใจเชื่อว่าภพที่๓ อันเป็นภพบัตนิของภพที่๙ ว่าเป็นภพ "แม่" ก็ด้วยเหตุที่ว่า เมียพ่อไม่จำเป็นต้องเป็นแม่เราเสมอไป เมียพ่อที่จะเป็นแม่เรานั้นมีอยู่เพียงคนเดียว นอกจากนั้นควรจะเป็นเพียงเพื่อน และถ้าให้แปลว่าแม่ก็เป็นได้เพียง "แม่เลี้ยง" ไม่ใช่แม่ตัว
ในทำนองเดียวกันแต่ในทางตรงข้าม เมื่อภพที่๔ เป็นแม่ ภพที่๑๐ ก็จะเป็นภพปัตนิของแม่ซึ่งหมายถึงผัวของแม่ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงพ่อของเรา และเมื่อจะใช้ภพนี้ในความหมายว่าพ่อก็จะเป็น"พ่อเลี้ยง" ไม่ใช่พ่อตัว
ภพที่๑๐ เป็นภพกัมมะมีความหมายว่า ภาระ การงาน การดินรนต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต และภพที่๑๐ นี้เป็นภพที่ ๒ คือภพกดุมกะของภพที่๙ อันได้แก่ทรัพย์สินสมบัติของพ่อ เพราะฉะนั้นถ้าหากภพที่๑๐ เกิดเป็นความหมายขึ้นด้วยการที่แม่ไปหาพ่อเลี้ยงให้เราเข้าเมื่อใด เเปลว่าทรัพย์สินสมบัติพ่อของเราถูกยึดครองโดย "พ่อเลี้ยง" เข้าแล้ว
ภพกัมมะนั้นก็จะเป็น "กรรม" ของเราเข้าจริงๆ
เพื่อไม่ให้เรื่องของผมแย่งเนื้อที่เรื่องที่มีค่าน่ารู้อื่นๆ มากเกินไป จึงขอยุติการเสนอข้อคิดที่ได้จาการค้นคว้าของผมสำหรับครั้งนี้ไว้แต่เพียงนี้




