คราส
คราส
ที่ดับดวงอาทิตย์และดับชีวิตพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งของไทย โดย: ประทีป อัครา
บทความเรื่องนี้ เป็นการสนองต่อการที่ผู้อ่านจดหมายขอร้องมาดามที่ได้นำลงพิมพ์ไว้ในหน้าจดหมาย เปิดผนึกในพยากรณสารฉบับประจำเดือนกรกฏาคม ๒๕๑๔ เนื่องจากการคำนวณบอกการโคจรของดวงดาวโดยละเอียดเบ็นรายวันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ทั้งยังต้องใช้เวลามากอีกด้วยเป็นสาเหตุประการหนึ่ง และที่ยากยิ่งขึ้นไป คือการหาผู้รู้ที่สามารถทำงานนได้และยอม รับทำงานนี้ให้เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้การเสนอเรื่องนี้ต้องล่าช้ามาจนถึงฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม การไม่ละความขวนขวายจนได้เรื่องที่ท่านประสงค์มาลงให้อ่านกันจนได้นี้ทำให้เราได้รับอภัยในการทำให้ท่านต้องรอคอยบ้าง. บรรณาธิการ |
ในรอบศตวรรษหนึ่งๆ จะมีคราสอยู่ประมาณ ๔๐๐ ครั้งทั้งสุริยคราสและจันทรคราสรวมกัน โดยเฉพาะสุริยคราส ถ้านับตั้งแต่ที่คนไทยเริ่มรู้จักคราสเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ก็มีคราสปรากฏให้เห็นมาแล้วนับเป็นพันครั้งด้วยกัน แต่ไม่เคยมีคราสครั้งไหนเลยที่จะมีความสำคัญให้เป็นที่สนใจจำกันมากเท่ากับคราสครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๑ ทั้งนี้เพราะเหตุที่คราสครั้งนั้นไม่เพียงแต่จะดับดวงอาทิตย์ให้มืดมิดไปเท่านั้น แต่ยังใดดับชีวิตพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งของไทยไปด้วย
จากหลักฐานที่ค้นคว้าหาใต้ พอจะประมวลความสำคัญของคราสครั้งนั้นมาได้ ดังนี้
๑)คราสครั้งนั้นเป็นบูรณคราส คือเป็นคราสชนิดที่ดับมืดมิดหมดดวง (Total Eclipse)ซึ่งไม่เคยปรากฎให้เห็นในประเทศไทยมาก่อน
๒)พระมหากษัตริย์เป็นผู้คำนวณบอกเวลาและสถานที่ที่จะเห็นคราสครั้งนั้นเอง ทั้งยังประกาศให้ทราบกันล่วงหน้า และเสด็จไปทอดพระเนตรเพื่อพิสูจน์ด้วยพระองค์เองโดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ปรากฎผลเป็นที่ถูกต้องตามที่ทรงคำนวณไว้ ทำให้พวกโหรซึ่งไม่ยอมเชื่อกันในตอนแรก เพราะความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องยอมรับในพระปรีชาสามารถทางด้านวิชาดาราศาสตร์ของพระองค์ และแม้แต่นักปราชญ์ทางดาราศาสตร์ชาวต่างประเทศก็ยังพากันยกย่องสรรเสริญ
๓)การเสด็จไปทอดพระเนตรคราสครั้งนั้น เป็นเหตุให้ทรงพระประชวรด้วยไข้ป่าและสวรรคตไปในที่สุด ในชั่วเวลาเพียง ๔๔ วันเท่านั้นหลังจากวันคราส

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ


ครั้นเวลา ๕ โมง ๒๐ นาที แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงอาทิตย์สว่างไม่มีเลย ที่อื่นแลเห็นดาวใหญ่ด้านตะวันตกและดาวอื่นๆ มากหลายดวง เวลา ๕ โมงกับ ๓๖ นาที ๒๐ วินาทีจับสิ้นดวง

เวลานั้นมืดเหมือนกลางคืนเวลาพลบค่ำ คนที่นั่งใก้ลๆกัน กผ้แลดูไม่รู้จักหน้ากัน ฯลฯ
(หมายเหตุ - ตามจดหมายเหตุของ Sir Hary Ord ซึ่งหมอบรัดเล น้ำเอามาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือบางกอกกาลันเดอร์บอกไว้ว่า สุริยุปราคาครั้งนี้จับหมลดวงอยู่เป็นเวลา ๖ นาที กับ ๔๕ วินาที)
ทำทัณฑกรรมโหร
ณ วันเสาร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคมมีพระบรมราชโอการรับสั่งถามพระโหราธิบดีว่า สุริยุปราคาที่กรุงเทพมหานครจับกี่ส่วน ยังเหลือกี่ส่วน พระโหราธิบดีและโหรมีชื่อกราบทูลพระกรุณาไม่ถูก ทรงพระพิโรธ ให้ไปขัดคิลาที่วังสราญรมย์อยู่วัน ๑ แล้วให้ทำทัณฑกรรมไว้ภายใต้ห่องอาลักษณ์ ลูกปะคำหอยโข่งสวมคอ กินข้าวน้ำด้วยกะลากาบหมากเป็นภาชนะใส่กับข้าวอยู่ ๘ วันจึงพ้นโทษ
ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เลด็จออกทรงปรนนิบัติพระสงฆ์ในพระพุทธนิเวน์ รับลั่งถามพระราชาคณะด้วยเรื่องสุริยุปราคา พระราชาคณะถวายพระพรไม่ต้องกัน ทรงขัดเคือง
ทรงพระประชวร
ครั้นเวลายามเศษ ณ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๙ ค่ำ เสด็จกลับประทับในพระบรมมหาราชวังให้ครั่นพระองค์ทรงพระประชวรไม่เสด็จออกว่าราชการ เสวยพระโอสถข้างที่ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เวลาทุ่มเศษ ทรงจับสั่นไปจมเวลา ๒ ยามเศษ ครั้นสร่างจับแล้ว รับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธราบุภาพเข้าไปเฝ้าในที่ทรงพระประชวร จึงรับสั่งให้ไปประชุมหมอหลวงมีชื่อประกอบพระโอสถถวาย กรมขุนวรจักรธรานุภาพก็รับพระบรมราชโองการ ออกมาสั่งให้หลวงทิพจักษุประกอบพระโอสถเข้าไปตั้งถวาย
วันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมงเศษ พระอาการกำเริบมากขึ้น ในทรงเชื่อม กระหายน้ำ พระกระยาเสวยถอยลง พระอาการแปรไปข้างอุจจาระธาตุ พระวงศามุวงท่านเสนาบดี ปรึกษาพร้อมกันเห็นว่า หลวงทิพจักษุถวายพระโอสถมาก็หลายวันแล้ว พระอาการหาคลายไม่ จึงให้ประชุมหมอหลวงว่า ผู้ใดจะรับฉลองพระเดชพระคุณได้ หมอทั้งปวงก็นิ่งอยู่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท จึงรับฉลองพระเดชพระคุณ ตั้งพระโอสถเข้าไปถวายหลายเวลา พระอาการก็ไม่ถอย
ณ วันจันทร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ เวลาย่ำเที่ยงแล้ว พระอาการกำเริบขึ้นอีก ทรงพระอาเจียนพระโลหิตตกเป็นลิ่มเหลวบ้าง ทรงรับด้วยพระภูษาชับพระโอษฐ์ ให้ป่วนพระนาภี จึงรับให้พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ พระประเสริฐศาสตร์ดำรงเข้าไปเฝั้าในที่ จึงรับสั่งว่าพระโรคมากแล้ว ถ้าเห็นพระอาการเหลือปัญญาแพทย์หมอก็ให้กราบบังคมทูล อย่าให้ปิดบังไว้ จะได้จัดแจง
ทรงขอขมาพระบรมวงศานุวงศ์และท่านเสนาบดี
ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ รับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กรมขุนวรจักรธรานุภาพ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนบำราบปรษักษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุทพระกลาโหม! เจ้าพระยาภูมธราภัย เข้าไปเฝ้าในที่ทรงพระประชรร จึงรับสั่งว่าวันนี้เบ็นวันพระจ้นทร์เต็มดวง นักปราชญ์ทั้งหลายก็ถึงความดับเบ็นอันมากในวันเพ็ญดังนี้ ควรพระชนมายุจะหมดจะดับในวันนี้เป็นแน่แล้ว ซึ่งขัดเคืองว่ากล่าวแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงมาแต่ก่อนนั้น ขออโหสิกรรมกันเสียเถิดอย่าให้เป็นเวรกันต่อไป
ขอฝากแต่พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอด้วย ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ
ครั้นเวลาย่ำค่ำแล้ว รับสั่งให้หาพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภเข้าไปเฝ้า ให้พยุงพระองค์พลิกพระเศียรทับพระพาหาเหมือนอย่างพระไสยาสน์ จึงตรัสว่าเขาตายกันดังนี้
รับสั่งให้พระยาบุรุษ ฯ จุดเทียนชัยและห้ามมิให้ถวายพระหนทางแล้วก็ทรงเจริญพระกรรมฐานสมาธิภาวนานิ่ง ศีรษะสู่ทิศอุดร ผันพระพักตรต่อประจิมทิศ พอย่ำค่ำประถมยามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสู่สวรรคด ด้งแต่วันทรงพระประชวรมาจนสวรรคตได้ ๓๗ วัน อยู่ในราชสมบัติได้ ๑๘ พระพรรษา สิริพระชนม์ได้ ๖๕ พระพรรษา
พระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งวิชาโหราศาสตร์พระองค์นี้ ประดิษฐานอยู่ในห้องประชุมของสมาคมโหรๆ ให้นักโหราศาสตร์ได้ถวายสักการะอยู่เป็นประจำ ถ้าย้อนนึกถึงสภาพภูมิประเทศของบ้านเมืองและสมรรถภาพของยวดยานที่ใช้ในการคมนาคมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๑ คือเมื่อ ๑๐๐ ปีเศษมาแล้ว ก็จะเห็นได้ชดว่า การ






