พระเคราะห์สองเรือน

พระเคราะห์สองเรือน
วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ละเอิยดประณีตประกอบด้วยกฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์อันตร์พิศตารมากมาย ความรอบคอบและความอดทนจึงเป็นส่วนประกอบอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งในการที่จะศึกษาวิชานี้ให้ได้ผล

จากประวัติศาสตร์และพงศาวดารเก่า ๆ ที่พอจะค้นคว้าได้ ทำให้เรารู้ ว่าวิชาโหราศาสตร์ ไทยได้เคยรุ่งเรื่องเข้าขั้นที่เรียกได้ว่าเป็น "สัจจสูตร์" มาครั้งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเรานักศึกษาโหราศาสตร์รุ่นหลังๆ นี้บุญน้อย จึงมิอันเป็นให้ถูกข้าศึกเผาผลาญทำลายตำรับตำรา อันเป็นผลงานของบรรพบุรุษบุรพโหราจารย์ไทยของเราไปเสียสิ้น แม้ว่าจะไม่สูญเสียทีเดียว ก็กระจัดกระจายไปอยู่ที่นั่นบ้างนี่บ้างแห่งละเล็กละน้อยมิได้ครบถ้วนสมบูรณ์

ผู้เฒ่าผู้แก่ในวงการโหรเคยให้ข้อคิดไว้ว่า วิชาโหราศาสตร์นี้เบ็นวิชาอาถรรพณ์จะไม่มิวันสูญไปจากโลกนี้ โดยเฉพาะวิชาโหราศาสตร์ไทย จะไม่มีวันสูญไปจากชาติไทย เพียงว่าวิชานี้มิสภาวธรรมที่ไม่ผิดกับสังขารที่ไม่เที่ยงและไม่จิรัง เมื่อมิการอุบัตี้ขึ้นก็มิดับไปเป็นของธรรมดา เมื่อใกล้จะถึงคราวแตกดับก็มิเหตุการณ์มาบันดาลให้ครูบาอาจารย์อบรมบ่มสอนศิษย์ให้รับทอดวิชาการนี้ไว้ ในสมอง และความจดจำต่อไปคนละมากบ้างน้อยบ้าง แม้ว่าจะกระจัดกระจายไม่รวมกันอยู่ แต่ก็เป็นที่เชื่อได้ว่าวิชานี้จะยังมีการสืบทอดกันไว้โดยครบถ้วน 

เมื่อบ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาพปรกติสุขจึงเป็นหน้าที่ของนักศึกษาที่จะต้องใช้ความอดทน และความรอบคอบเสาะแสวงหาตำรับตำราและครูบาอาจารย์เพื่อว่าวิชาการ์ที่กระจัดกระจายกันไปจะได้ มาอยู่รวมกันโดยสมบูรณ์ อิกครั้งหนึ่งของมั่นไม่แน่ในอนาคตอันไม่ไกลข้างหน้าใครจะรู้ อาจจะมีไโหรที่สามารถพยากรณ์แบบถวายหัว พยากรณ์ฟ้าผ่าไฟไหม้ และพยากรณ์ของในขั้นครอบได้แม่นยำกว่าตาเห็นเหมือนกับที่โหรบูรพาจารเคยทำเกิดขึ้นอีก เรื่องนี้มันอาจจะยาวนานจนไม่รู้ว่าอีกเมื่อไร หรืออาจจะในอนาคตอันใกล้ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรเหมือนกันที่จะเป็นไปได้ แต่สำหรับปัจจุบันท่านๆ ผมๆนี้เรามาช่วยกันคนละไม้คนละมื้อค้นคว้ารวบรวมกฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์ ที่มันกระจัดกระจายเอามาไว้ ด้วยกันดีกว่า

    เนื่องจากว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ในวิชาโหรวศาสตร์มิอยู่มากมายและสลับซับซ้อน จึงมักทำให้เกิดความสับสนต่อการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องอยู่เป็นอันมาก ความหวังที่จะได้เห็นท่านผู้รู้มาร่วมแรงร่วมใจกันสังคายนาให้เป็นการถูกต้องสมบูรณ์ ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะอีกเมื่อไรการเสนอบทความนี้ซึ่งเป็นผลได้มามากการศึกษาค้นคว้าถ้าหากจะเกิดประโยชน์บ้าง ก็ถือเสียว่าผมไปเสาะแสวงหามาเข้ากองทุนไว้ตามสดิกำลังซึ่งมีอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ 

เมื่อได้รับความร่วมมือกันมากๆ เข้าอนาคตที่เราหวังกันว่าวิชานี้จะรวมตัวกันเข้าโดยสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งก็คงจะอีกไม่ไกลนัก

การพยากรณ์ในทางโหราศาสตร์ไม่ว่าจะไทยหรือเทศ นิรายนะหรือสายนะแม่บทที่สำคัญในการพยากรณ์ก็คือพระเคราะห์เจ้าเรือน หรือ พระเคราะห์เกษตร 

ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายนอกจาก อาทิตย์ และจันทร์ แล้วท่านจะเห็นว่ามีเรือนครองอยู่สองเรือนทุกดวง คือ

  อังคาร ครองราศีเมษเรือนหนึ่ง ราศีพิจิกอีกเรือนหนึ่ง
  พุธ ครองราศี เมถุนเรือนหนึ่ง  ราศีกันย์อีกเรือนหนึ่ง
  พฤหัส ครองราศีธนูเรือนหนึ่ง ราศีมีนอีกเรือนหนึ่ง
  ศุกร์ ครองราศีพฤษภเรือนหนึ่ง ราศิตุลย์อีกเรือนหนึ่ง
  เสาร์ ครองราศีมังกรเรือนหนึ่ง ราศีกุมภ์อีกเรือนหนึ่ง

  เมื่อผูกดวงวางลัคนาเสร็จแล้ว จึงเกิดเป็นปัญหาว่า เมื่อจะเอาดาวพระเคราะห์นั้นขึ้นมาพยากรณ์ จะเอาความหมายของเรือนไหนมา ตัวอย่างเช่นลัคนาสถิตราศีเมษ พฤหัสสถิตราศีตุลย์ภพปัตนิ ภพปัตนิเป็นภพคู่ครอง พฤหัสเป็นเกษตร์ในราศีมีนเรือนวินาศน์หนึ่ง เป็นเกษตรในราศีธนูเรือนศุภะอีกหนึ่ง รวมเป็น 2 เรือนด้วยกัน ตามความหมายของเรือนก็จะเป็นดีหนึ่ง ขั้วหนึ่ง ถ้าหากเราไม่มีกฎเกณฑ์ ที่จะกำหนดลงไป ให้เป็นการแน่นอนว่าควรจะเอาความหมายของเรือนไหนมาพยากรณ์ ก็เห็นทิจะต้องใช้พยากรณ์หมดทั้งสองเรือนคือ ดาวพฤหัสที่สถิตอยู่ที่ภพบัตนิของดวงชะดานั้น.แสดงถึงเจ้าชะดาจะได้คู่ครองที่เป็นคนดี จะอยู่กินด้วยกันราบรื่นมีความสุขและความเจริญ เพราะว่าดาวพฤหัสนั้นเป็นเจ้าเรือนศุภะของดวงชะตา แต่ทว่าเนื่องจากดาวพฤหัสนั้นเป็นเจ้าเรือนวินาศน์ด้วย บางครั้งคู่ครองอาจจะก่อความยุ่งยากให้หรืออาจจะนำความเดือดร้อนเสียหายมาให้แก่เจ้าชะตาได้

   สรุปแล้ว คู่ครองของเจ้าชะตานั้นบางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี แบบนนี้ต่ำแหน่งหมอดุแม่นๆ คงจะไม่พ้นมือแน่

จักรวาฬอันบุรพโหราจารย์ ได้แบ่งออกเป็น ๑๒ ส่วนซึ่งเรียกว่าจักรราศีนั้น นอกจากท่านจะกำหนดให้มีดาวพระเคราะห์ครองซึ่งเรียกว่า เกษตร แล้ว ท่านยังกำหนดให้ราศีมีความหมายเป็นอย่างอื่นอีกมากมายหลายประการ เช่นกำหนดให้ราศึมีความหมายทางเพศ เป็นหญิงหรือชาย
มีความหมายทางไฟฟ้าเป็นบวกหรือลบ มีความหมายเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีความหมายทางสภาวะเป็นประเภทแห่งความเปลี่ยนแปลง มีความหมายทางเวลาเป็น กลางวัน กลางคืน เหล่านี้เป็นต้น

การที่ว่าเมื่อไรควรจะใช้ความหมายอย่างไรนั้น ผมอยากจะนำตัวอย่างที่เคยกล่าวมากล่าวอีกครั้งว่า กฎเกณฑ์ในโหราศาสตร์อันมีอยู่อเนกอนันต์นั้น ไม่ผิดกับเครื่องมือของช่าง
การที่จะเลือกใช้กฎเกณฑ์ ให้ถูกต้องเหมาะเจาะเฉพาะเรื่อง เฉพาะรายนั้นก็ไม่ผิดกับการหยิบใช้ เครื่องมือของพวกช่าง ซึ่งมีทางจะทำได้ถูกวิธีเดียวก็คือการฝึกฝนหาความชำนาญ ซึ่งต้องการความอดทนและเวลาเป็นส่วนประกอบอันสำคัญยิ่ง

กฎเกณฑ์ที่จะใช้ความหมายช่องเรือนมาประกอบดาวพระเคราะห์เกษตร์นั้นท่านกำหนดไว้ ๒ ประการ คือ
เพศของเจ้าชะตา (เบ็นชายหรือเป็นหญิง) หนึ่ง
เวลาเกิดของเจ้าชะตา (กลางวันหรือกลางคืน) หนึ่ง

กฎทั้ง 2 ประการนั้นจะต้องนำมาใช้ประกอบกับความหมายของราศึ ๒ ประการ คือความหมายทางเพศหนึ่งและความหมายทางเวลาอีกหนึ่ง ความหมายของราศีทั้ง ๒ ประการนี้ เมื่อแสดงเป็นรูปดวงจักรราศีแล้วจะปรากฎดังนี้

    
   รวมดวงทั้ง ๓ ดวงซึ่งผมได้เสนอมาข้างต้นนั้น ท่านจะเห็นว่าบุรพาจารย์ท่าน ได้วางกฎไว้อย่างมีระเบียบแผนดียิ่ง ดาวพระเคราะห์ซึ่งครองเกษตร ๒ เรือนทั้งหลายคือ อังคาร  พุธ พฤหัส  ศุกร์ และเสาร์นั้น ได้ถูกจัดถูกแยกไว้เป็นสัดส่วน ไม่สับสนปะปนกัน คือการครอง ๒ เรือนนั้น

ในทางเพศก็จะเป็นเพศชายเรือนหนึ่งและเพศหญิงอีกเรือนหนึ่ง เป็นเวลากลางวันเรือนหนึ่งและเป็นเวลากลางคืนอีกเรือนหนึ่งมิได้มีที่กันซ้ำกันเลย จะยกมาให้เห็นโดยชัดแจ้งดังนี้
 
อังคาร   ครองราศีเมษ   เป็นเพศชาย   เป็นเวลากลางคืน
           ครองราศีพิจิก   เป็นเพศหญิง  เป็นเวลากลางวัน
พุธ       ครองราศีเมถุน  เป็นเพศชาย   เป็นเวลากลางคืน
           ครองราศีกันย์   เป็นเพศหญิง  เป็นเวลากลางวัน
พฤหัส   ครองราศีธนู     เป็นเพศชาย    เป็นเวลากลางวัน
           ครองราศีมีน     เป็นเพศหญิง   เป็นเวลากลางคืน
ศุกร์      ครองราศีพฤษภ  เป็นเพศหญิง  เป็นเวลากลางคืน
           ครองราศีตุลย์ เป็นเพศชาย  เป็นเวลากลางวัน
เสาร์     ครองราศีมังกร  เป็นเพศหญิง เป็นเวลากลางวัน
           ครองราศีกุมภ์  เป็นเพศชาย  เป็นเวลากลางคืน

ต่อไปนี้ก็จะมาถึงตอนที่ว่า จะนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาใช้อย่างไร
ขอให้ย้อนกลับไปพิจารณากฏแห่งการใช้พระเคราะห์ ๒ เรือนที่กล่าวไว้ข้างต้นอีกครั้ง

พิจารณาเพศและเวลาเกิดของเจ้าชะตา ประกอบกับราศีแสดงเพศและราศีแสดงเวลา
หมายความว่า ความหมายทางเรือนที่จะมีน้ำหนักแก่ดวงชะตานั้น
ก. พระเคราะห์ ที่ครองเรือนในราศีที่เป็นเพศเดียวกับเจ้าระดา
ข. พระเคราะห์ที่ครองเรือนในราศีที่เป็นภาคเวลาเดียวกับเจ้าชะตา
    ตัวอย่าง ก. เจ้าชะตาเป็นเพศชาย พระเคราะห์ที่มีน้ำหนักแก่ดวงชะตา จะต้องเป็นพระเคราะห์ในราศีที่เป็นเพศชายทั้งสิ้น คืออังคารราศีเมษ พุธราศีเมถุน พฤหัสราศีธนู ศุกร์ราศีตุลย์ เสาร์ในราศีกุมภ์ 
   ข. เจ้าชะตาเกิดเวลากลางคืน พระเคราะห์ที่มีน้ำหนักแก่ดวงชะตา จะต้องเป็นพระเคราะห์ในราศีที่เป็นกาคกลางคืนทั้งวัน คืออังคารราศีเมษ พุธราศีเมถุน พฤหัสราศีมีน ศุกร์ราศีพฤษภ เสาร์ราศีกุมภ์
 
ตัวอย่างที่ยกมาว่า เจ้าชะตาเพศชาย เกิดเวลากลางคืน (เพศหรือเวลาจะเป็นอย่างไรก็ตามจะอยู่ในกฎอันเดียวกัน) ก็เพื่อจะให้ท่านได้เห็นถึงมุมขัดแย้งของกฎ ๒ ข้อที่กล่าวนั้น คือ พระศุกร์แย้งกัน-ทางเพศกำหนดให้ใช้ราศีตุลย์
ทางเวลาให้ใช้ราศีพฤษภ พฤหัสแย้งกัน-ทางเพศกำหนดให้ใช้ราศีธนู ทางเวลาให้ใช้ราศีมีน
 
ถ้าเปรียบกับชั้นของศาล กฎทั้ง ๒ ข้อนั้นเปรียบได้กับศาสชั้นต้น และศาลชั้นอุทรรณ์ ถ้าหากว่าการตัดสินของศาลทั้ง ๒ ยังขัดแย้งกันอยู่ ท่านได้ตั้งศาลฏีกาไว้สำหรับชี้ขาด
 
       ศาลฏีกาที่บูรพาจารย์ใด้กำหนดไว้ก็คือ ล้คนา
ลัคนานั้นกำหนดขึ้นด้วย เวลาเกิด ฉะนั้นท่านจึงกำหนดไว้ว่า ให้พิจารณาภาคเวลาแห่งราศีที่ลัคนาสถิตนั้นเป็นเครื่องตัดสินธิ์ขาดข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
 
ตามตัวอย่างที่ได้ยกมากล่าวไว้นั้น ถ้าหากว่าลัคนาสถิตอยู่ทางภาคแห่งราศีที่เป็นเวลากลางคืน คือราศึกรกฏ เมถุน พฤษภ เมษ มีน และกุมภ์ ก็ให้ตัดสินใช้พระเคราะห์ที่เป็นเกษตรในภาคนั้น คือพระศุกร์ให้ใช้เกษตรราศีพฤษภ พฤหัสให้เกษตรราศีมีน.
 
แต่ถ้าหากว่าลัคนาสถิตอยู่ทางภาคแห่งราศีที่เป็นเวลากลางวัน คือราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศิตุลย์ ราศีธนู และราศีมังกรก็ให้ตัดสินใช้พระเคราะห์ที่เย็นเกษตร์ในภาคกลางวัน พระศุกร์ ให้ใช้เกษตร์ราศีตุลย์ พฤหัสให้ใช้ราศีธนู ดั่งนี้เป็นอาทิ
 
การใช้ลัคนามาเบ็นเครื่องตัดสินนี้ ใช้เฉพาะในกรณีที่เกิดความขัดแย้งขึ้นจากกฎเบื้องต้น ทั้ง ๒ ข้อนั้น 
ถ้าหากว่ากฎทั้ง ๒ ข้อนั้นลงกันเช่นอังคาร  พุธ และเสาร์ก็ให้ถือตามนั้น ไม่จำเป็นต้องยกเอาภาคการสถิตของลัคนาขึ้นมาพิจารณาอีก
 
เพื่อที่จะให้เป็นการเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นจะนำเอาดวงชะตามาพยากรณ์ให้เห็น เป็นแนวทางแต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากการถูกกล่าวหาว่าไปเลือกสรรดวงที่สมคล้อยกับหลักเกณฑ์
ที่กำลังกล่าวถึงอยู่มาเสดง จึงจะขอนำดวงชะตาที่ได้เสนอไว้ ในเดือนที่เล้ว มาฉายซ้ำอีก รูปจักร์ซะตาปรากฏดังจะเสนอต่อไปนี้ รายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับดวงชะตานี้
 
ถ้าต้องการ  ขอได้โปรดดูเอาจากหนังสือพยากรณสารฉบับประจำเดือนที่แล้ว
 
   ในดวงชะตาที่ปรากฏอยู่นี้ท่านจะเห็นว่ามีพระเคราะห์ ๒ เรือน สถิตอยู่ในที่ต่างๆ กัน คือ
   พฤหัสกับเสาร์สถิตอยู่ในราศีสิงห์ภพพันธุ
   พุธสถิตอยู่ในราศีตุลย์ภพอริ
   ศุกร์สถิตอยู่ในราศีธนูภพม่รณะ
   อังคารสถิตอยู่ในราศีมังกรกดุมภะ
   เรื่องที่เราจะต้องพิจารณาต่อไปก็คือพระเคราะห์ 2 เรือนซึ่งสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ในดวงชะตานั้นมาจาก เรือนไหนของดวงชะตา และมีความหมายอย่างไรแก่ดวงชะตา

   ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าเจ้าชะาดวงนี้เป็นชายเกิดเวลา ๑๗.๒๕ น. ซึ่งเป็นเวลากลางวัน ฉะนั้นพระเคราะห์ที่จะมีน้ำหนักแห่งความหมายในดวงชะตาจึงจะต้อง เป็นพระเคราะห์ ที่ครองเรือนในราศีที่เป็นเพศชายหนึ่ง
และพระเคราะห์ที่ครองเรือนในภาคราคีที่เป็นกลางวันอีกหนึ่ง


พระเคราะห์ : เรือนที่ครองราศีที่เป็นเพศชายคือ
อังคาร   ราศีเมษ
พุธ ราศีเมถุน
พฤหัส  ราศีธนู
ศุกร์  ราศีตุลย์ 
เสาร์  ราศีมังกร
พระเคราะห์ ที่ครองราศีอันเป็นภาคกลางวัน คือ
พุธ ราศีกันย์
ศุกร์ ราศีตุลย์
อังคาร ราศีพิจิก
พฤหัส ราศีธนู
เสาร์ ราศีมังกร
 
จากการแยกและนี้ ท่านจะเห็นว่า พระเคราะห์ ที่ถูกต้องตรงกันทั้งหลักเกณฑ์ ทางราศีเพศเละราศีเวลามีอยู่เพียง  พระเคราะห์คือพฤหัสและศุกร์ ส่วนพระเคราะห์อีก ๓ ดวงคือ อังคาร พุธ และเสาร์แย้งกันในหลักเกณฑ์ทั้ง ๒ นั้น ซึ่งในกรณีที่ตกลงกันไม่ได้ นี้แหล่ะที่จำเป็นจะต้องใช้จุดสถิตของลัคนาเป็นเครื่องชี้ขาด
 
  โดยที่ลัคนาสถิตในราศีที่เป็นภาคแห่งกลางคืน ตามกฎก็จะต้องชี้ขาดให้ใช้ความหมายของพระเคราะห์ในภาคที่เป็นเวลากลางคืน คือใช้พระเคราะห์อังคารในภาคกลางคืนอันได้แก่ราศีเมษ  พระเคราะห์ในภาคกลางคืนอันได้เเก่ราศีเมถุน พระเคราะห์เสาร์ ในภาคกลางคืนอันได้แก่
ราศีกุมภ์

เมื่อได้ใช้หลักเกณฑ์ตามกฏโดยครบถ้วนแล้วเราก็จะได้พระเคราะห์ที่มีน้ำหนักแห่งความหมายในดวงชะตาดังต่อไปนี้

อังคาร      เกษตรราศีเมษ     เจ้าเรือนวินาศน์
พุธ          เกษตรราศีเมถุน    เจ้าเรือนกดุมภะ
พฤหัส      เกษตรราศีธนู       เจ้าเรือนมรณะ
ศุกร์         เกษตร์ราศีตุลย์     เจ้าเรือนอริ
เสาร์        เกษตร์ราศิกุมภ์     เจ้าเรือนกัมมะ

เมื่อได้ความหมายจำเพาะของดาวพระเคราะห์ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้ว เราก็มาถึงการพิจารณาดาวพระเคราะห์ในตำแหน่งนั้นๆ ต่อไปว่ามิความหมายอย่างไร

ในราศีสิงห์ภพพันธุของดวงชะตามีดาวพฤหัสและเสาร์สถิตอยู่ 
ดาวพฤหัสนั้นมิน้ำหนักแห่งความว่าสรณะซึ่งแปลว่า ตาย ป่วย หรือเสียไป
ส่วนดาวเสาร์นั้นมีน้ำหนักแห่งความหมายว่ากัมมะ ซึ่งแเปลว่ากิจการที่กระทำ เมื่อประมวลเอาความหมายของเรือนและดาวพระเคราะห์ ในราศีสิงห์เข้าด้วยกันแล้ว พอจะเรียบเรียงเป็นใจความว่า ญาติของเจ้าชะตา(ความหมายของภพพันธุ์) จะทำให้กิจกจรงานที่กระทำ(เสาร์เป็นเจ้าภพกัมมะ) เสียหาย(พฤหัสเจ้าภพมรณะ) 

   ในราศีตุลย์ภพอริ มีพระเคราะห์ ๒ เรือนสถิตอยู่ ๑ ดวงคือดาวพุธ ดาวพุธนั้นมีน้ำหนักแห่งความหมายว่ากดุมภะ พอจะรวมเข้าเป็นความหมายว่า เจ้าชะดาจะต้องได้รับความยุ่งยากเดือดร้อนและเกิดศัตรูขึ้น(ความหมายของภพอริ) ด้วยสเหตุอันเนื่องมาจากเงิน (พุธเป็นเจ้าภพกดุมภะ)

   ในราศีธนูภพมรณะมิพระเคราะห์ ๒ เรือนสถิตอยู่ ๑ เรือน คือดาวพระศุกร์ ดาวพระศุกร์ซึ่งแปลว่าศัตรู ความขัดข้องเดือดร้อนเมื่ออ่านรวมเข้ากับความหมายของภพแล้ว จะเป็นใจความว่าศัตรูและความเดือดร้อนของเจ้าชะตานั้น (ความหมายของดาวพระศุกร์เจ้าภพอริ) จะสูญสิ้นไปในที่สุด(ความหมายภพมรณะ)

ในราศีมังกรภพศุภะมีพระเคราะห์ ๒ เรือนสถิตอยู่ดวงหนึ่งคือดาวพระอังคาร  ภพศุภะนั้นมิความหมายว่าบ้านอยู่ที่อาศัย ความสงบ ความสุข ดาวพระอังคารมิน้ำหนักแห่งความหมายว่าวินาศน์ ซึ่งแปลว่าทำลาย ความผิดหวัง ความสะเทือนใจ รวมเป็นความหมายว่า ความผิดหวังหรือความสะเทือนใจที่เจ้าชะตาจะได้รับนั้น (ความหมายของดาวพระอังคารเจ้าภพวินาศน์)  จะเกิดขึ้นจากภายในบ้านของเจ้าชะตานั้นเอง (ความหมายของภพศุภะ)

เท่าที่ได้เแสดงวิธีขยายความหมายของพระเคราะห์ ๒ เรือนมานี้ เพียงเพื่อให้เห็นเป็นแนวทางเพียงสังเขป เมื่อเข้าใจโดยถ่องแท้แล้ว การที่จะขยายความหมายให้ละเอิยดพิศดาร ออกไปอิกก็ย่อมจะไม่เป็นการยาก

ยกตัวอย่างเช่นเราจะขยายความหมายของดาวพระอังคารให้มิความหมายกว้างขวางออกไป ก็ด้วยวิธิพลิกแพลงเอาภพอื่นเข้ามาผสมเข้าไปอีก คือ
ภรรยาของเจ้าชะตา(อังคารเป็นเจ้าภพปัตนิ) จะมีส่วนเป็นสาเหตุนำความผิดหวังสะเทือนใจ (อังคารมิน้ำหนักแห่งความหมายของภพวินาศน์) เข้ามาสู่ภายในบ้าน (อังคารสถิตภพสุภะ) เรื่องราวมันเกี่ยวๆ พันๆ ไปถึงญาติๆ (เสาร์เจ้าเรือนที่อังคารสถิตอยู่ในภพพันธุ) ดังนี้เป็นต้น

วิธีการอ่าน ความหมาย ของดาวพระเคราะห์ ในดวงชะตาที่ผมนำมาเสนอนี้ เป็นเพียงแบบแผนพื้นๆ ทั่วไป ครูบาอาจารย์ที่ ท่านเชี่ยวขาญชำนาญมาก ท่านก็สามารถแจกแจงความหมายให้วิจิตร์ พิสดารออกไปได้อีกมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านที่สนใจจะไปขวนขวายเก็บเกี่ยวความรู้จากครูบาอาจาร์ย์ดีๆ เอาเอง.

   อันการศึกษาวิชาการใดๆ นั้นจะไปยึดมั่นอยู่ กับหลักเหตุผล แต่ประการเดียวหาพอไม่เพราะว่า เหตุผลไม่ใช่ความจริง เหตุผลเป็นเพียงข้ออ้างอิงเพื่อประกอบการเชื่อมั่นของแต่ละบูคคลเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เหตุผลเป็นเพียงวาทศิลป์ที่จะชักจูงให้คนอื่น เห็นคล้อยตามด้วย เท่านั้นเอง เหมือนกับคนสองคนที่ด่ากันตีกันแทบล้มแทบตาย ถ้าท่านไปถามเขา  เขาจะมีเหตุผลที่จะชี้ให้เห็นว่าเราเป็นฝ่ายถูกทั้งสองคน แต่ท่านคิดโดยข้อเท็จจริง แล้วเขาถูกทั้งสองคนตามเหตุผลที่เขาอ้างนั้นหรือเปล่า

   การเรียนวิชาโหราศาสตร์ก็เช่นกัน จะตั้งหน้าศึกษาเล่าเริยนโดยยึดมั่นอยู่กับเหตุผล ข้ออ้างอิงแต่ประการเดียวย่อมไม่มีทางจะเข้าถึงวิชานี้ได้ ในความเห็นส่วนตัวผม ผมคิดเอาว่าสิ่งที่ เราทดสอบและพิสูจน์ จนประจักษ์ผลแห่งความจริงแล้วเท่านั้น ที่เราจะยึดมันได้อย่างเท้จริง ไม่ใช่ยึดมั่นเพราะว่าผู้ให้เหตุผลนั้นเป็นผู้มีอายุมากกว่า. เป็นผู้ที่ยศศักดิ์อัครฐานสูงกว่า หรือเป็นชาติที่เจริญกว่า นี่ว่ากันตามหลักของการเชื่อตามที่พระพุทของค์ทรงสอนไว้อันมีปรากฏอยู่ในกาลามสูตร์

   หวังว่าบทความอันเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การใช้พระเคราะห์ ๒ เรือนนี้คงจะทำให้ท่านได้รับความรู้เพิ่มขึ้นบางอย่างแน่นอน คือได้รับความรู้ว่าวิธีการใช้พระเคราะห์ ๒ เรือนแบบนี้ทำให้การพยากรณ์แคบเข้าหรือได้ผลขึ้น หรือไม่ก็ได้รับความรู้ว่าวิชิการใช้พระเคราะห์แบบที่นำมากล่าวนี้ทำให้พยากรณ์ได้ไม่ถูกเลย.

ประทีป อัครา
สำนักงานพยากรณ์และเผยแผ่วิชาโหราศาสตร์ไทย
๔๙๒ ถนนประชาธิปก ใกล้สี่แยกบ้านแขก ธนบุรี โทร. ๖๓๔๙๒
 
#By_คุณยายกลิ่นโสม 100
        ---------------------
  สนใจดูดวงติดต่อ: baankunyai 102 100450
     
Visitors: 216,743