ความหมายของดาวพระเคราะห์

     ความหมายของดาวพระเคราะห์   โดย.. อาจารย์ประทีป  อัครา

" ในชีวิตของดิฉันไม่เคยประสบพบกับความสมหวังเลย ทั้งๆที่พยายามดิ้นรนชวนขวายไม่กลัวแก่ความเหนื่อยยาก มันก็ยังพบแต่ความยุ่งยากชัดสนอยู่เรื่อยมา อยากจะให้คุณหมอช่วยตรวจดูว่า เมื่อไหร่จึงจะได้มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากกับเขาบ้าง" ผู้พูดเป็นสตรีเจ้าของดวงชะตาร่างท้วมผิวขาว

ผู้ที่ถูกเรียกว่า คุณหมอ ก้มหน้าลงพิจารณาดวงชะดา แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของดวง แล้วก็ก้มหน้าลงพิจารณาดวงชะตาอีกสองสามตลบ ก่อนที่
จะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่า "คุณนายอย่าหลอกผมดีกว่าครับ ดวงอย่างนี้บอกว่าลำบากขัดสน ผมไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาด อย่างน้อยก็จะต้องมีรถเก๋งนั่ง ดูสิครับ ดาวเคราะห์จับกลุ่มกันในภพกดุมภะเรือนเงิน ได้ตำแหน่งเกษตรมีคู่ธาตุคู่สมพล จันทร์ก็เป็นเกษตรอยู่เรือนลากะ อังคารเบ็นเกษตรได้คู่ธาตุกับราหูมหาอุจจ์ อย่างนี้ถ้าไม่มีตึกมีที่มหาศาล ก็ผิดตำราเท่านั้นเอง"


ท่านเคยมีความลังเล สงสัย หรือไม่แน่ใจไหมครับว่าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่กล่าวไว้ในหนังสือตำรับตำราเสมอไป ท่านเชื่อมั่นหรือเปล่าครับว่า อุจจ์เกษตรก็ดี นิจประก็ดี คู่มิตร คู่ธาตุคู่สมพลก็ดีจะต้องมีความหมายตรงกับที่ตำราว่าไว้เสมอไป ?

ผมได้พกเอาความฉงนฉงายอันนี้ไว้ในความคิดเรื่อยมาจนกระทั่งได้มาอ่านพระนิพนธ์ของสมเด็จเจ้าพั่กรมหลวงพิทักษมนตรีอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง ท่านทรงไว้ว่า "ชะตาดวงใด ของใครใครเล่าไซ่ร้ ไปดีได้เกษตรอุจจ์ สมมุติว่าดีเลิสหลายและสินะ บางทีทายโทษแท้" ซึ่งพอจะแปลเป็นใจความเอาง่ายๆ ว่านดวงชะตาที่มีเกษตรอุจจ์นั้น น่าจะดี แต่บางทีกลับเป็นโทษมากกว่าธรรมดาเสียอีก ท่านทรงนิพนธ์ต่อไปอีกว่า "ผิวชาติแม้ชะตา ได้นิจาและประ ทายเถิดสินะโทษทุกข์ แต่นิจสุขบ่มีโทษ" แปลเอาง่าย ๆ อีกว่าดวงที่มีนิจมีประนั้น น่าจะมีแต่ทุกข์และโทษ แต่ทว่าบางทีดวงที่มีนิจมีประนั้นกลับมีแต่ความสุขราบรื่นเป็นนิจ ไม่เคยประสพพบกับความทุกข์ยากลำเค็ญเลย

บทพระนิพนธ์นี้สกิดใจให้ผมคิดว่าที่เราเข้าใจกันมาว่าอุจจ์ดีเกษตรดี นิจร้ายประร้ายนั้นเห็นทีจะผิดเสียเป็นแน่แล้ว ไม่ใช่ดำราผิด แต่เราเข้าใจและแปลความหมายของตำราผิด ทั้งนี้เพราะว่า ผมเคยพบดวงผู้มีความรุ่งเรืองตัวยยศศักดิ์สฤงคารสมบูรณ์พูลสุขหลายดวง ที่จะหาอุจจ์หาเกษตรทำยาสักตัวก็ไม่มี บางรายแถมยังมีนิจจ์มีประเสียด้วยช้าไป ส่วนดวงกรรมกรหาเช้ากินคำเสียอีก บางคนดวงชะตามีอุจจ์เกษตรเกลื่อนไปหมด  

ผมคิดเลยไปถึงบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งมีอายุอยู่สมัยเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แม้กระทั่งบัดนี้ ท่านผู้นั้นก็ยังเบิ๋นผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเบ็นบรมครูบูรพาจารย์ทางแพทย์อยู่ ท่านคือ ชีวกะโกมารภัต นั่นเอง ซึ่งผมคิดว่าชื่อของท่านจะเบีนที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป

ลีลาชีวิตของท่านผู้นี้ มีทั้งความตื่นเต้นและมีคติน่าศึกษา แต่เราจะไม่กล่าวถึงชีวประวัติโดยละเอียดของท่านในที่นี้ ผมใคร่จะขอนำชีวประวัติตอนหนึ่งของท่านมากล่าวไว้ เพราะเบ็นตอนที่ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์แก่นักโหราศาสตร์เราอย่างเอนกอนันต์

อาจารย์ผู้ซึ่งได้รับความยกย่องว่เป็นผู้ทรงภูมิวิทยาอย่างเยี่ยมยอดในสมัยนั้น ซึ่งเบ็นผู้อบรมสั่งสอนชีวกะโกมารภัต ตระหนักอยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า วิชาการใดๆ ชีวกะได้ศึกษาเล่าเรียนไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ชีวกะเองหาได้ตระหนักในข้อนี้ไม่ จะด้วยต้องการสอบความรู้ของชีวกะ หรือด้วย
 
ต้องการให้ชีวกะสอบตัวเองเพื่อป้องกันอกุศลจิตของศิษย์ที่จะคิดไปว่าอาจารย์ปิดบังวิชาก็ตามที่ ท่านได้เรียกชีวกะเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า "ชีวกะ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เธอจะได้ศึกษาวิชาชั้นสูงสุดเสียที แต่ในการนี้ จำเป็นที่จะต้องได้เถาวัล์ย์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ใช้ทำยาไม่ได้มาประกอบการศึกษา เธอจงไปเสาะแสวงหาเถาวัลย์นั้นมาให้จงได้ อาจารย์จะได้แนะนำวิชาการขึ้นสูงสุดแก่เธอ"

ชีวกะได้ดั้นดันด้นคว้าอย่างชนิดที่เรียกว่าตลุยป่า แต่จะหาเถาวัลย์ที่อาจารย์ต้องการ คือชนิดที่ใช้ทำยาไม่ได้สักเถาเดียวก็หาไม่ได้ ท่านย้อนกลับมาหาอาจารย์อย่างอ่อนระโหยโรยแรงหลังจากตลุยป่าอยู่ตลอด ๔ วัน " เห็นทีข้าพเข้าจะไม่มีวาสนาได้ศึกษาวิชาขึ้นสูงสุดเป็นแท้แล้ว ข้าพเจ้าจึงสามารถหาสิ่งที่อาจารย์ต้องการได้" ท่านรายงานกับอาจารย์อย่างท้อแท้ใจ
 
ท่านอาจารย์ยกมือลูบศีรษะชีวกะด้วยความปรานีแล้วกล่าวว่า "ชีวกะ เธอได้เรียนสำเร็จวิชาขั้นสูงสุดแล้วโดยเธอไม่รู้ตัว ก็เมื่อเธอมีความสามารถที่จะใช้เถาวัลย์ทุกชนิดให้เบ็นประโยชน์เป็นได้เช่นนั้น  ยังมีอะไรอีกเล่าที่เธอคิดว่าจะต้องศึกษาอยู่อีก"

อันเถาวัลย์ในป่าใหญ่นั้น มีอยู่มากมายหลายชนิดที่มีพิษร้ายขนาดที่คนหรือสัตว์ผ่านเข้าไปแล้วจะเป็นอันตรายถึงตาย หรือที่ร้ายกาจขนาดได้สมญานามว่า เถาวัลย์กินคน ก็มีอยู่มากมายเหลือ

ก็แล้วอิทธิพลของดาวพระเคระห์ในวิทยาการทางโหราศาสตร์เล่า นิจก็ดี ประก็ดี คู่ศัตรูก็ดี จะไม่มีความดีแฝงฝั่งอยู่บ้างเลยเจียวหรือ และในทางตรงข้าม จะเบ็นไปไม่ได้เจียวหรือที่อุจจ์ก็ดี เกษตรก็ดี คู่มิตรก็ดีจะมีทุกข์มีโทษเจือปนอยู่บ้าง

อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ข้อคิดอันนี้เบื้นจุดหนึ่งอันเป็นที่มาของบทพระนิพนธ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีที่ผมได้อัญเชิญมาสู่ท่านทั้งหลายเบื้องต้น "ชะตาดวงใด ของใครใครเล่าไซร้ ไปดีได้เกษตร อุจจ์ สมมุติว่าดีเลิศหลายและสินะ บางที่ทายโทษแท้"

"ผิวชาติแม้ชะตา ได้นีจาและประ หายเถิดสินะโทษทุกข์ แต่นิจสุขบ่มีโทษ"
อันหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์นั้น ท่านได้กำหนดไว้ละเอียดลึกซึ้งมาก มิใช่จะว่ากันลุ่นๆ ตามตำราแล้วก็ใช้ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การที่จะเป็นนักโหราศาสตร์ชั้นดีก็คงจะไม่ยากเย็นนัก เพราะเพียงแต่สละทุนทรัพย์เพียงเล็กน้อยชื่อตำราตามเวิ้งหรือตามแผงขายหนังสือที่สนามหลวง แล้วก็เอามา ก้มหน้าก้มตาท่องจำชิงตำแหน่งแชมเบี้ยนจากนกแก้ว นกขุนทองเสียพักเดียวก็จะกลายเบิ๋นนักโหราศาสตร์หรือโหรมือชั้นดีไปได้

อันความรู้โดยทั่วๆ ไปตามตำรานั้นเรียกกันว่า ศาสตร์ แต่ความจัดเจนและเชี่ยวชาญในการเอาความรู้นั้นไปพลิกแพลงใช้ให้ถูกต้องและได้ผลนั้นเรียกว่า ศิลป ฉะนั้น ศิลป จึงถูกยกให้มีอันดับเหนือกว่า ศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อจะกล่าวถึงความรู้และความชำนาญควบคู่กันไป ความชำนาญจะถูกนำมากล่าวก่อนความรู้ เช่นคำว่า ศิลปศาสตร์

หลักเกณฑ์ที่จะกำหนดคุณสมบัติของดวงตาวนั้น ท่านกำหนดหลักใหญ่ ๆไว้มีกุม โยค เกณฑ์ ร่วมเล็ง และเบียฬ 

กุม      ได้แก่ร่วมราศีเดียวกัน
โยค    ได้แก่ เบ็น ๓ หรือ ๑๑ แก่กัน
เกณฑ์ เป็นกำหนดจุดมีอำนาจหรือจุดรวมแสงพิเศษเฉพาะดาว ๓ ดวง คือ อังคาร หฤหัสและเสาร์ 

อังคาร มีกำลังแรงในภพที ๕ และภพที่ ๘ โดยนับจากเรือนที่อังคารสถิต ฉะนั้นลัคน์ก็ดี หรือดาวพระเคราะห์ใดก็ดี ถ้านับไป ๖  ราศีก็ดี  ๑๐ ราศึก็ดี ถ้ามีดาวอังคารอยู่ถือว่าลัคน์นั้นหรือดาวพระเคราะห์นั้นถูกเกณฑ์ของดาวอังคาร คือได้รับแสงอย่างแรงจากดาวอังคาร 

พฤหัส มีกำลังแรงในภพที่ ๕ และภพที่ ๙ โดยนับจากเรือนที่พฤหัสสถิต ฉะนั้นลัคน์ก็ดี หรือดาวพระเคราะห์ใดก็ดี ถ้านับไป ๕ ราศีก็ดี ๙ราศึก็ดี ถ้ามีดาวพฤหัสอยู่ถือว่าลัคน์นั้นหรือดาวพระเคราะห์นั้นถูกเกณฑ์ของดาวพฤหัส คือได้รับแสงอย่างแรงจากดาวพฤหัส 

เสาร์ มีกำลังแรงในภพที่ ๓ และภพที่ ๑๐ โดยนับจากเรือนที่เสาร์สถิต ฉะนั้นลัคน์ก็ดีหรือดาวพระเคราะห์ใดก็ดี ถ้านับไป ๔ ราคีก็ดี ๑๑ ราศึก็ดี ถ้ามีดาวเสาร์อยู่ถือ ว่าลัคน์นั้นหรือดาวพระเคราะห์นั้นถูกเกณฑ์ของดาวเสาร์ คือได้รับแสงอย่างแรงจากดาวเสาร์ 

ร่วม ได้แก่อยู่คนละราศีแต่เบ็นราศีธาตุเดียวกัน คือเป็นตรีโกณแก่กัน 

เล็ง ได้แก่อยู่ราศีตรงข้ามกัน หรือเบ็น ๗ แก่กัน 

เบียฬ เป็น ๖ เป็น ๘ และเบื้น ๑๒ 

หลักเกณฑ์ที่ยกมากล่าวนี้เบื้องหลักขั้นพื้นฐานโดยทั่วๆไป ซึ่งพอให้ช้อสังเกตได้ว่า การแสดงคุณและโทษของดาวเคราะห์นั้น หลักใหญ่อยู่ที่ความสัมพันธ์ ส่วนอุจจ์ เกษตร นิจประนั้น ถ้าเทียบกับหลักไวยากรณ์ก็เป็นเพียงคุณศัพท์คือตัวประกอบเพื่อขยายความเท่านั้น 

จากหลักเกณฑ์ที่กล่าวนั้นยังชี้ให้เห็นอีกว่า การแสดงคุณและโทษของดาวเคราะห์มิใช่จะแสดงโดยทางตรงอย่างเดียวหามิได้ ยังสามารถที่จะแสดงออกโดยทางอ้อมได้อีกด้วย 

เพื่อไม่ให้กฎเกณฑ์อันละเอียดอื่น ๆ มาทำความสับสนให้มากเกินไป ผมอยากจะเชิญชวนท่านให้หันมาสนใจกับดวงชะตา ที่ผมได้นำมาเสนอไว้แต่ต้น โดยใช้หลักเกณฑ์พัน ๆ เป็นเครื่องวิเคราะห์คุณสมบัติของดาวพระเคราะห์แต่ละดวง

ขั้นต้น ผมกำหนดความหมายของดวงดาวไว้เป็นพื้นฐาน

เกษตร แปลว่า มั่นคง ร่ำรวย มีฐานะหลักฐานดี
ประ แปลว่า ง่อนแง่น ขัดสน ไร้ฐานะหลักฐาน
อุจจ์ แปลว่า มีอิทธิพล มีอำนาจ มียศศักดิ์
นิจ แปลว่า ปราศจากอิทธิพล ไม่มีอำนาจ ไม่มียศศักดิ์
คู่มิตร แปลว่า คนที่ชอบพอกัน คนที่สนิทสนมรู้จักกันดี
คู่ศัตรู แปลว่า คนที่ไม่ชอบกัน ไม่ถูกกัน

เมื่อได้ใช้หลักเกณฑ์วิเคราะห์ดาวจนทราบคุณสมบัติที่แน่นอนแล้วว่าให้คุณหรือให้โทษต่อจากนั้น ก็เอาความหมายของดาวพระเคราะห์ที่กำหนดไว้มาเป็นคุณศัพท์ประกอบ เพื่อขยายความอีกทีหนึ่ง

ดาวเกษตร ถ้าให้คุณ จะได้รับความอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้ที่มีหลักฐานมั่นคงฐานะดี
                ถ้าให้โทษมักจะต้องมีเรื่องกับคนที่มีฐานะสูงกว่า
ดาวประ ถ้าให้คุณ จะได้รับความช่วยเหลือจากคนที่มีฐานะต่ำกว่า มักจะเป็นการช่วยด้วย แรงมากกว่าช่วยด้วยทุน
            แต่ถ้าให้โทษ จะมีเรื่องหรือได้รับความเดือดร้อนจากคนที่มีฐานะต่ำกว่า
ดาวอุจจ์ ถ้าให้คุณ จะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากบุคคลที่มีอิทธิพล มีอำนาจราชศักดิ์ ถ้าเบ็นนักเลงก็เป็นนักเลงชั้นหัวหน้าแก็ง
            แต่ถ้าให้โทษ จะมีเรื่องผิลใจหรือได้รับความเดือดร้อนจากที่มีอิทธิพลและอำนาจ
ดาวนิจ ถ้าให้คุณ ผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือ จะเป็นผู้น้อยที่ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลนัก ถ้าเป็นนักเลงก็มักจะเบ็นนักเลงชั้นลูกจ๊อก
         แต่ถ้าให้โทษ มักจะได้รับความเดือดร้อนจากผู้ที่ตำกว่า เช่น ผู้ใด้บังคับบัญชา เข้าแบบถูกหมูเห็นราชสีห์ท้าชวนรบ
ดาวคู่มิตร ถ้าให้คุณ ความสำเร็จหรือลาวผลจะไต้จากคนที่รักใคร่ชอบพอสนิทสนมกัน
               ถ้าให้โทษ คนที่ทำให้เดือดร้อนก็คือคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจรอบพอสนิทสนมกันนั้นเอง

ดาวคู่ศัตรู ถ้าให้คุณ ความสำเร็จหรือลาภผลจะเกิดขึ้นหรือได้จากคนที่เคยขับเคี่ยวไม่ถูกกันมาก่อน
               ถ้าให้โทษ จะหมายความว่ความเดือดร้อนทั้งหลายแหล่มาจากศัตรูคู่อามาดกัน หรือมิฉะนั้นก็เสียทำแก่คู่ปรับทั้งๆ ที่รู้ตัวอยู่

 ในวิชาโหราศาสตร์ก็คงจะเช่นกัน ตำราทั้งหลายที่มีอยู่คงจะเป็นบันทึกแต่หลักใหญ่ๆ ส่วนกุญแจสำคัญที่จะชี้ บอกวิธีการใช้ตำราให้ถูกต้องก็คงจะถ่ายทอดแบบเดียวกับตำรายา 

ผมคิดว่ามีทางที่จะเป็นไปได้อยู่มากทีเดียว เพราะในสมัยโบราณท่านยกย่องนับถือครูบาอาจารย์กันยิ่งนัก ขนาดรัชทายาทราชบุตรใคร่จะศึกษาวิชาการ ก็ต้องบุกป๋ฝ่คงไปหา อยู่ปรนนิบัติ
ครูบาอาจารย์ที่ไปศึกษาวิชาด้วย มิใช่ให้ไปเรียกไปตามครูบาอาจารย์มาสอน 
 
และการที่จะรับศิษย์เพื่อให้การศึกษาวิชาในสมัยก่อนก็รู้สึกว่าจะพิถีพิฉันกันมาก ท่านสุนทรภู่ได้ถ่ายภาพพจน์ไว้ในเรื่องพระอภัยมณีให้เห็นอย่างแจ่มใสมาก ท่านบรรยายถึงประกาศที่หน้าบ้าน
อาจารย์ของพระอภัยมณีและศรีสุวรรณไว้ว่า  
แม้นผู้ใดใคร่เรียนวิชามั่ง
จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข
ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ
จึงจะได้ศึกษาวิชาการ

ประกาศนี้ชวนให้คิดว่า อาจารย์ผู้นี้กระดูกและหน้าเลือดเหลือประมาณ ซึ่งความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ส่วนมากการเรียกร้องค่าเล่าเรียนในสมัยก่อนจะเป็นการสอนความตั้งใจจริงของศิษย์ที่มาสมัครเรียน ยิ่งในเรื่องพระอภัยมณีนั้น ท่านสุนทรภู่ก็ดำเนินเรื่องว่า ราชบุดรสองพี่น้องยอมเอาธำมรงค์ ซึ่งมีคำมากกว่าทองแสนดำลึงเป็นค่าเล่าเรียน เมื่อได้เล่าเรียนกันจบหลักสูตรแล้ว ท่านอาจารย์ทำอย่างไรต่อไป ท่านทราบไหมครับ สุนทรภู่บรรยายไว้ว่า อาจารย์ได้เรียกศิษย์เข้ามาหา
อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์
คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน
ซึ่งวิชาตีค่าไว้ถึงแสน
เพราะหวงแหนกำชับไว้ชับชัน
จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา

ถ้าค่อยๆ คิดพิจารณาให้ลึกซึ่งต่อไป เราจะเห็นว่าการได้ตำรายาโดยไม่รู้น้ำกระสาย การได้ตำราโหราศาสตร์โดยไม่รู้กุญแจไขรหัส มีค่าไม่ต่างอะไรกันนัก กรุณาพิจารณากฎเกณฑ์ซึ่งบันทึกไว้ในตำรา ดังนี้ "
"อนึ่งจันทร์ต้องลัคน์ในชัณษา โชคอุดม"
พฤหัสต้ององค์พระพุธา พระพุธเล็งจันทรา

ประมาณเอาง่ายๆ ว่า พฤหัสโคจรราศีละ ๑ ปี พุธโคจรราศีละ ๑ เดือน จันทร์โคจรเดือนละ ๑ รอบ จะเห็นว่าเพียงกฎนี้กฎเดียว เราก็มีโอกาลที่จะมี โชคอุดม กันทุก ๑๒ ปีแล้ว เพราะว่าเมื่อพฤหัสต้ององค์พระพุธา พฤหัสก็จะต้อง อยู่ถึง ๑ ปี ซึ่งเป็นการให้เวลาแก่พุธที่จะโคจรไป เล็งจันทรา ได้ทัน และพุธก็จะเล็งจันทร์อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาราว ๑ เดือน ซึ่งก็เป็นการให้เวลาแก่จันทร์ที่โคจรไป ต้องลัคนี้ในชันษา ใด้ทันอีกเหมือนกัน เพราะจันทร์สามารถที่จะผ่านรอบจักราศีได้



#By_คุณยายกลิ่นโสม 100
#อ่านดวงสบายสบายตามสไตล์คุณยายกลิ่นโสม
#ฟรี!!เรียนดูดวงฟรี!!ได้ที่ #htthttp://www.baankhunyai.com 105322
  ------------------------------------
  สนใจดูดวงติดต่อ: baankunyai 102 100450
     
Visitors: 216,706