ดาวมฤตยูกับผู้นำ

     
   ดาวมฤตยูกับผู้นำ  โดยอาจารย์ ส. แสงตะวัน 

วิชาโหราศาสตร์ในยุคปัจจุบัน เท่าที่สังกตจากการเรียนหรือจากตำราและบทความเท่าที่ผ่านมา รู้สึกจะไขว้เขวออกนอกลู่ทางไปมาก ถ้าหากจะกล่าวกันแบบกำปั้นทุบดิน ว่าวิชาโหราศาสตร์ของจริงนั้นได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว  ที่กล่าวออกมาเช่นนี้ เห็นทีจะมีผู้คัดค้านตอบโต้ขึ้นมาทันที ว่าเอาอะไรมาพูดให้เสื่อมเสียก็เห็นๆ กันอยู่ในยุคปัจจุบัน วิชาโหราศาสตร์กำลังเจริญก้าวหน้าเป็นที่นิยมกันทั่วโลก ผู้เขียนกล้าที่จะกล่าวได้ว่า นั่นมันเป็นการเจริญทางด้านดาราศาสตร์ หาใช่โหราศาสตร์ไม่ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นมั่วสุมเล่นกันแบบตาบอดคลำข้างตลอดมา

เกจิอาจารย์ผู้ช่ำชองสมัยโบราณ เขามิได้สั่งสอนศิษย์กันเหมือนสมัยนี้ มีระเบียบระบการสอนให้อยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องตามความเป็นจริงไม่  ชั้นอนุบาลผ่านเข้าชั้นประถมเสียก่อนแล้วจึงจะเรียนชั้นสูงขึ้นไปอีกได้  โดยจะเริ่มต้นระหว่างธาตุกับดวงดาวซึ่งเป็นแม่บทให้เข้าใจเสียก่อน ในชั้นต้นนี้ถือเป็นเรื่องยากและหนักสมองที่สุด ที่นักศึกษาจะต้องเพียรพยายามและอดทนสูงเท่าที่เคยเห็นมาแล้ว ปรากฎว่พอเริ่มเรียนไปได้ไม่มากนัก มักจะเกิดท้อถอยเบื่อหน่ายและเลิกลาไปกลางคัน ผู้ที่สามารถผ่านคั่นตอนไปได้ หากจะคิดเป็นเปอร์เซนต์ คงจะได้เพียงร้อยละ ๑ หรือ ๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นการจะได้เป็นศิษย์เป็นครูสืบทอดต่อไปจึงยากนัก

ระบบธาตุเป็นแม่บทสำคัญในการเริ่มตันศึกษาโหราศาสตร์ เพียงแต่ธาตุน้ำธาตุเดียวคงจะใช้สมองหนักอึ้งอยู่เหมือนกัน เพราะธาตุน้ำ เราเริ่มตันด้วยการจัดแบ่งออกเป็นสองอย่าง  คือน้ำจืดกับน้ำเค็มเสียก่อน เนื่องจากน้ำเต็มมีองค์ประกอบ ด้วยธาตุเกลือเป็นสารละลายอยู่ในน้ำ ฉะนั้นน้ำเค็มจึงมีน้ำหนักมากกว่าน้ำจึด ธาตุน้ำทั้งสองย่อมเป็นที่ปรารถนาของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เมื่อเราสามารถแยกน้ำจืดออกจากน้ำเต็มแล้วเราคงจะพบส่วนผสมผสานให้เปลี่ยนรสชาติไปได้มากมาย  เช่นน้ำกล่อย น้ำต่าง น้ำขม น้ำหวาน น้ำเปรี้ยว เป็นต้น และฝึกหัดจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑๒ เรือนหรือ ๑๒ ราศีตามที่เรียกกัน และยังสามารถขยายออกไปได้อีกถึง ๓๖ รสชาติหรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี

วิชาว่าด้วยเรื่องระบบธาตุ เป็นวิชาที่ออกจะสับสนยุ่งยากมากทีเดียว เพราะการศึกษากับการนำมาใช้ทางพยากรณ์นั้นมีข้อแตกต่างกัน เช่นถามพระอาทิตย์คือดาวอะไร ทุกคนอาจจะตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ดาวอาทิดย์ เลขเป็นเครื่องหมายแทน หรือ เลข ๑ หมายถึงอาทิตย์ การตอบเช่นนี้ ถ้าตอบตามหลักวิชาถือว่าผิด เพราะเราต้องการเรียนโหราศาสตร์ภาคพยากรณ์เป็นหลัก  อันที่จริงคำที่ตอบว่าเลข ๑ คือหมายถึงดาวอาทิตย์นั้น เป็นการพูดกันแบบธรรมดา  แต่ถ้าเกี่ยวกับหลักวิชาแล้วถือว่าไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องนั้นต้องว่า ๐   ๑. คือดาวมฤตยูกับดาวอาทิตย์คู่กัน เพราะคำตอบที่ออกมาต้องการให้เป็นรูปธรรมในอนาคต ดังนั้นคำตอบจะต้องออกมาในลักษณะดาวคู่เป็นอย่างน้อย

นักศึกษาอาจจะสงสัยว่า ด้วยเหตุผลกลใดจึงต้องใช้ดาวมฤดยูร่วมคู่กันนักศึกษาคงทราบแล้วว่าโหราศาสตร์เป็นวิชที่ต้องใช้ธาตุผสมกัน ดาวมฤตยูเป็นรากเหง้าของความยืนนานและอยู่ยงคงกระพันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินานมาแล้ว เช่นทะเล มหสมุทร แผ่นดิน ภูเขา หรือลัทธิศาสนา ปูชนียสถาน วัตถุโบราณ รวมถึงการแพทย์และโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่คนแก่ชราที่เราเรียกว่าคนโบราณเป็นต้น 

ตามหลักโหราศาสตร์สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่เนิ่นนาน จะต้องคำนึงถึงดาวมฤตยูด้วยเสมอ ดังนั้นเมื่อมีคนมาถามว่า อาทิตย์คือดาวอะไร ถ้าเกี่ยวกับหลักวิชาจะต้องตอบว่า มฤตยูกับดาวอาทิตย์ คือ o. ๑. หรือถ้าถามถึงพระจันทร์นั้น  ดาวอะไรต้องตอบว่า o. ๒. หมายถึงดาวมฤตยูคู่กับดาวจันทร์นั่นเอง หรือ ถามต่อไปถึงดาวอังคาร ดาวพุธ จนถึงพระราหู จะต้องมีดาวมฤตยูเดินคู่อยู่ด้วยเสมอ บางท่านอาจจะนึกไปว่าความหมายมีเพียงเท่านี้ทำไมจึงต้องจดจำให้ยุ่งยากไปทำไม แต่เมื่อศึกษาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เจ้าดาวคู่นี้แหละจะต้องนำมาใช้ผสมออกคำพยากรณ์บ่อยที่สุด เพราะต้องการขยายให้กว้างในทางปัญญา

เบื้องต้นเราควรเรียนรู้เรื่อการไหลเวียนของกระแสธาตุของแต่ละดวงเสียก่อนว่าดาวแต่ละดวงนั้นสามารถขยายความหมายได้กว้างไกลเท่าไร เรืยกว่า ดาวเดี่ยวหรือดาวดวงเดียว  คั่นต่่อไปจะต้องเรียนรู้ถึงเรื่องความหมายของดาวคือดาวสองดวงอยู่ร่วมเรือนด้วยกัน หมายถึงการผสมธาตุและมีความหมายอย่าง เรื่องความหมายของดาวคู่ รู้สึกจะหนักสมองอยู่มาก ถ้าไมได้สังสรรค์กับครูผู้รู้บ่อยๆ เห็นจะไปไม่ถึงควงดาวเป็นแน่แท้ เพราะจำนวนเกือบร้อยคู่ ในแต่ละคู่ สามารถกระจายความหมายออกไปได้มากมาย แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ของครูผูู้สอน ผ่านจากดาวคู่จะต้องพบกับดาวตับ ดับหนึ่งมี ๓ ดวง ความหมายของแต่จะกว้าง และละเอียดขึ้นไปอีก สามารถจิตนาการและคาดคะเนจากนามธรรม รูปธรรม ได้แม่นยำ จากดาวตับก็มาถึงดาวชุต ชุดหนึ่งมี ๔ ดวง การคันคว้าข้อมูลจากดาวชุดนี้ นับว่ายุ่งยากขับซ้อนขึ้นไปอีก คั่นตอนนี้เห็นจะต้องใกล้ชิด ครูผู้สอนบ่อยที่สุด เพราะจะต้องศึกษาตีธาตุให้แตกฉานและเข้าใจจากข้อมูลขึ้นกันแบบท่องจำเหมือนสวดปาติโมกข์ หากเป็นเช่นว่านี้จะไม่บังเกิดผลอะไรเลย คั่นต่อไปจะต้องศึกษาให้เข้าถึงดาวหมู่ ดาวหมู่หมายถึงดาวที่จับกันเป็นชุดเกิน ๔ ดวงขึ้นไป ซึ่งจะต้องใช้ความสมารถขยายความกว้างและละเอียดมากขึ้น และยังสามารถบอกประวัติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในวงการงานของเจ้าชาตา แม้แต่ผู้อยู่ใกล้บ้านเรือนเคียงก็สามารถบอกเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน จากนี้ไปก็เป็นเรื่องดาวเบียนดาวโยคและอื่น ๆ อีกต่อไป

ดาวมฤตยู ลักษณะความหมายโดยทั่วไป หมายถึงการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นต้นจากจิตใจหรือการกระทำที่ตนประสงค์ สามารถเปลี่ยนของเก่าให้เป็นของใหม่ เปลี่ยนจากเด็กให้ดูเป็นผู้ใหญ่ได้ สังขารร่างกายรวมถึงจิตใจ ย่อมเปลี่ยนสถานภาพไปตามกาลเวลา หรืออาจบังเกิดโรคภัยไข้เจ็บจนถึงอวสานแห่งชีวิตก็ได้เช่นกัน ด้งนั้นการจะนำดาวมฤตยูมาใช้ภาคพยากรณ์กับตัวบุคคล จงอย่าทึกทัก จับแต่ด้านร้ายสมอไปอาจผิดพลาดได้ ความหมายของดาวมฤดยในด้านดี มีอยู่มาก อาจมีวาสนาเป็นถึงนายกหรือประธานาธิบดีก็ได้เหมือนกัน

#คุณยายกลิ่นโสม
#คุณยายเล่าเรื่องจากเรือนดาว
#โหราศาสตร์ไทยเรียนง่ายกว่าที่คิด
#เรียนโหราศาสตร์ไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#อ่านดวงไทยสบายสบาย ตามสไตล์คุณยายกลิ่นโสม
#โหราศาสตร์ไทยเรียนด้วยตนเองฉบับคุณยายกลิ่นโสม   
#เรียนโหราศาสตร์ไทยฟรี ที่เวปนี้นะ:: htthttp://www.baankhunyai.com
  --------------------  
Visitors: 173,096