อดีตกาลก่อน พระสิวลี

                อดีตกาลก่อน พระสิวลี

       
        อดีตกาลก่อน พระสิวลี

ในอดีตชาติ ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “วิปัสสี” มีกุลบุตรผู้หนึ่งได้เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ตำบลหนึ่งใกล้เมืองพันธุมดี   ในครั้งนั้นชาวเมืองกับพระราชาได้ทำบุญแข่งกัน  โดยการจัดเครื่องถวายทานแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า วันหนึ่งพวกชาวเมืองเตรียมจะถวายทานแต่ก็ได้พบว่าในทานของพวกตนนั้นมีครบทุกอย่างแล้วยังขาดก็แต่น้ำผึ้งเท่านั้น

จึงได้จัดส่งคนออกไปหาน้ำผึ้งกับเนยแข็ง โดยคอยดักดูผู้คนที่มาจากชนบทที่เดินทางเข้ามาในเมืองว่าผู้ใดจะมีสิ่งใดติดตัวมาบ้าง บังเอิญวันนั้นกุลบุตร (คือพระสีวลีในชาติต่อมา) ได้เดินทางเข้าไปในเมือง โดยนำเอากระบอกเนยแข็งมาด้วยหมายจะเอาไปแลกสิ่งของในเมือง แต่ระหว่างทางก่อนจะเข้าเมืองได้พบรวงผึ้งรวงหนึ่งโตขนาดเท่างอนไถ กุลบุตรนั้นจึงได้เอารวงผึ้งนั้นเข้าไปในเมืองด้วย ชาวเมืองเห็นรวงผึ้งก็ดีใจจึงได้ขอซื้อรวงผึ้งในราคาถึง ๑๐๐๐ กหาปนะ (กหาปนะเป็นชื่อของเงินที่ใช้ในสมัยโบราณ) มันทำให้กุลบุตรเกิดความแปลกใจมาก เพราะลำพังเนยแข็งกับน้ำผึ้งนี้มันไม่มีราคามากถึงเพียงนี้เลย ราคาแค่ ๕ กหาปนะเท่านั้นแต่ทำไมชาวเมืองถึงให้ราคามากเช่นนี้ จึงทำเป็นไม่ขาย เพื่อใคร่จะรู้ราคาที่แท้จริงของมันว่ามันเท่าไหร่กันแน่ ชาวเมืองกลัวจะไม่ได้น้ำผึ้งและกลัวจะแพ้พระราชา จึงได้ขึ้นราคารวงผึ้งนั้นอีกถึง ๒๐๐๐ กหาปนะ กุลบุตรเกิดความสงสัยก็เลยถามชาวเมืองว่า “พวกท่านจะเอาน้ำผึ้งไปทำอะไร ถึงกล้าซื้อรวงผึ้งราคามากถึงเพียงนี้”

ชาวเมืองทั้งหลายก็ตอบว่า “จะเอาไปทำบุญ  เครื่องไทยทานทั้งหลายของพวกเรามีครบทุกอย่างแล้วยังขาดยังขาดก็แต่น้ำผึ้งนี้แหละ พ่อหนุ่ม”      กุลบุตรคนนี้เป็นชาติแห่งบุคคลผู้ฉลาดจึงได้ฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า “เออ! เราเกิดมาเป็นคนยังไม่ได้ทำบุญอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่นๆเขาเลยเพราะ ฐานะของเรายากจน บัดนี้เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของเราแล้วจำเราจะเอารวงผึ้งและเนยแข็งนี้ให้เป็นทานเถอะ”   เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วจึงได้ตอบชาวเมืองทั้งหลายไปว่า “รวงผึ้งนี้ข้าพเจ้าไม่ขาย  แต่ข้าพเจ้าอยากจะเอารวงผึ้งนี้ถวายเป็นทานร่วมกับพวกท่าน จะได้หรือไม่?”  ชาวเมืองทั้งหลายจะได้น้ำผึ้งโดยไม่ต้องซื้อก็ดีใจตอบตกลงทันทีว่า “ตกลงๆ”  

เมื่อได้น้ำผึ้งสมความตั้งใจแล้วชาวเมืองทั้งหลายก็ได้นำเอากุลบุตรคนนั้น เข้าไปร่วมทำบุญด้วย  ในขณะที่ทำการถวายทานกุลบุตรก็ได้ยกเอาน้ำผึ้งที่กรองดีแล้วเข้าไปถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเมื่อทรงรับน้ำผึ้งของกุลบุตรแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า “ขออย่าให้น้ำผึ้งของกุลบุตรคนนี้หมดไป ขอให้กุลบุตรคนนี้ได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์ได้ครบทุกองค์ที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้เถิด” พระภิกษุสงฆ์ที่มารับทานของชาวเมืองในวันนั้นมีประมาณ  ๕๐๐  รูป

ส่วนกุลบุตรก็ได้ถวายทานน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์พร้อมพระพุทธเจ้าด้วยมือของ ตนเองครบทุกองค์แล้วก็อธิษฐานจิตว่า “ขอให้ทานนี้จงเป็นทานอันยิ่งใหญ่เกิดชาติใดภพใดก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีโชคลาภมากกว่าคนทั้งหลาย” กุลบุตรได้ใส่บาตรด้วยน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์ครบทุกองค์แล้ว จึงได้ทูลขอพรจากพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งกุศลทานที่ข้าพระองค์ได้กระทำแล้วในวันนี้ เกิดชาติใดภพใดก็ตาม ขอให้ข้าพระองค์จงเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายในทางโชคลาภเถิด พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนาว่า “ขอให้เป็นไปตามที่โยมปราถนาเถิด”  นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กุลบุตรนั้นก็ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอมิได้ขาดจนสิ้นอายุขัย

    นี้คือบุรพกรรมทีเป็นส่วนดีและไม่ดีของพระสีวลีที่ท่านได้กระทำเอาไว้ในอดีตชาติ
พระสีวลีท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร จากพระพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า “ขอ พระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุขปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้ออกมาโดยง่ายเถิด”

  ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานหายไป พระนางประสูติพระราชโอรสออกมาอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงได้บอกความประสงค์ของตนแก่พระสวามี ให้ไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ให้มารับมหาทานพร้อมด้วยอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายแข็งแรงดุจกุมารผู้มีอายุได้ ๗ ปี ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจการต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก คือ กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสคือถวายแด่พระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น  ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช   
 
  สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อถูกพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรมหาเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตะจะปัญจะกะกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งามเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนลงบนศีรษะเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จแล้ว ท่านได้ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

   เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ อีกด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อพระองค์ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จเดินทางไกลที่กันดาร ถ้ามีพระสีวลีร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....
   ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระ
เรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า “ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัยเลย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”

   “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล
   พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงเดินไปในทางลัดไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกเขา เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลีนั้นด้วย”


   พระสีวลีได้รับการยกย่องในทางเป็นผู้มีลาภมาก  เพราะอำนาจบุญกุศลที่ท่านพระสีวลี ได้ถวายน้ำผึ้งให้เป็นทานในสมัยของพระวิปัสสสีพุทธเจ้าเอาไว้ในอดีตชาติ ด้วยบุญกุศลนี้เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยโชคลาภสักการะ โดยมีเทพยดา, นาค, ครุฑ, และมนุษย์ทั้งหลาย นำเครื่องอุปโภคและบริโภคมาถวายโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า, ในบ้าน, ในน้ำ, หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงได้ทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านอยู่ในตำแหน่ง เอตะทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีโชคลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการพระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
 
ที่มา : http://www.internetuniversity999.com/16181000/๒๖ประวัติพระสีวลี


หมายเหตุ : คัดลอกเขามาอีกที ไม่เก่ง ไม่ชำนาญ  มีความชอบและศรัทธาเฉพาะตน จึงทำให้อยากแบ่งปันจ๊ะ 





#By_คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ที่: #www.baankhunyai.com
-----------------------
ดูดวงติดต่อ Line : baankunyai  

Visitors: 172,432