พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทร์ราหู

        

               
พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทร์ราหู

          มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระราหูได้เคยเข้าจับพระอาทิตย์ บังเกิดเป็นสุริยคราส ครั้งนั้นเทพยดาทั้งหลายทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าช่วยด้วยเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ทรงกล่าวพระพุทธคาถาแก่พระราหู เมื่อพระราหูได้ฟังแล้วบังเกิดขนพองสยองเกล้ารีบคายพระอาทิตย์ออก เพราะศีรษะของตนดั่งว่าจะระเบิดออกมาเป็นเจ็ดเสี่ยง รีบกลับเข้าเมืองอสูรทันใด ไปเล่าให้เพื่อนอสูรของตนฟังว่า พระพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มากนักไม่อาจต้านทานฤทธานุภาพพระพุทธองค์ได้ ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก ดังนี้

            

           ในพระไตรปิฏกเล่าอีกว่า พระราหูนั้นเคยคิดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ดำริในใจว่าตนเองนั้นร่างกายใหญ่โต ไฉนเลยจะเข้าไปกราบพระพุทธองค์ได้ พระพุทธองค์สามารถรู้ถึงความคิดของพระราหูทุกประการ ได้เนรมิตร่างกายตนให้ใหญ่กว่าพระราหูหลายร้อยหลายพันเท่า อยู่ในกิริยานอนประทับปางไสยยาสน์ เมื่อราหูมาถึงที่ประทับยังนึกในใจอยู่ว่าพระองค์คงร่างเล็กนิดเดียว ก้มลงมองหาเท่าไหรก็ไม่พบ จนท้อใจคิดจะกลับอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสทัก เมื่อมองขึ้นไปจึงพบว่าร่างกายของพระพุทธเจ้าใหญ่โตยิ่งกว่าตนมากมายนัก ทั้งประทับนอนสีหไสยยาสน์ พระราหูจึงเกิดความเกรงในพระพุทธบารมี และเชื่อมั่นในพระพุทธคุณของพระพุทธองค์ ขอเอาพระไตรสรณคมณ์เป็นที่พึ่งและถือว่าพระรูปปางสีหไสยยาสน์นั้นเป็นปางปราบอสุรินทร์ราหู ผู้ที่มีราหูเข้าแทรกในดวง ได้บูชาพระพุทธรูปปางนึ้จะดีกับตนเองยิ่งนัก


   

         คัมภีร์อนาคตวงศ์ ระบุว่าพระโคตมพุทธเจ้าตรัสกับ พระสารีบุตรว่า พระอสุรินทราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระนารทพุทธเจ้า" สูง ๒๐ ศอก พระชนมายุ ๑๐,๐๐๐ ปี มีไม้จันทน์เป็นที่ตรัสรู้ ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมี ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกษัตริย์มีพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช ครองเมือง มัลลนคร มีพระราชอัครมเหสี นามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชโอรสและพระราชธิดา นามว่า นิโครธกุมารและโคตมีกุมารีตามลำดับ วันหนึ่งมี พราหมณ์ ๘ ท่าน มาทูลขอราชสมบัติและพระนคร พระองค์ก็พระราชทานด้วยจิตใจที่ปลาบปลื้มยินดี และพาครอบครัวออกบวช ไปอาศัยอยู่ที่อาศรมในป่า ในครั้งนั้นมียักษ์ชื่อว่า ยันตะ ร่างกายสูงถึง ๑๒๐ ศอก มาขอพระราชโอรสและธิดาทั้งสอง พระองค์ เพื่อเป็นอาหาร และ ยันตะยักษ์ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าได้ถวายพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว อนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อพระยาสิริคุตตมหาราชได้ฟังเช่นนั้นเกิดความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงตอบว่า ไม่ใช่ไม่รักลูกทั้งสองแต่ท่านเป็นผู้ที่รักในพระโพธิญาณยิ่งกว่าสิ่งใด จึงตัดใจสละพระกุมารีทั้ง ๒ ให้ยักษ์และหลั่งน้ำเหนือมือของยักษ์ พร้อมทั้งประกาศแก่เทวดาและพระแม่ธรณีให้เป็นสักขีพยาน แห่งมหาทานนี้ เมื่อยักษ์ได้รับมอบพระกุมารีทั้งสองไปแล้ว ก็เคี้ยวกินต่อหน้าต่อตาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เห็นเลือดที่ไหลจากปากของยักษ์ ก็มิได้หวาดกลัวเลยด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยยินดี และนับเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตพระองค์ที่ ๕ (นับพระศรีอริยเมตไตรยเป็นพระองค์ที่ ๑)

        จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธเรา การกราบไหว้พระโพธิสัตว์นันเป็นคตินิยมอยู่แล้วของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั่นรู้จัดเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย พระโพธิสัตว์นั้นบางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งในรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้ อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ สมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชา

     นอกจากนี้หลายท่านคงไม่เคยทราบว่าคำกล่าวขึ้นต้นก่อนสวดมนต์บทใดๆ ก็ตาม คือ นะโมตัสสะ นั้นเป็นคำกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่เทพยดาหลายพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้น จนกลายเป็นประโยค “นะโม ตัสสะ” ที่เราสวดกัน ในบทดังกล่าวพระราหูเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมรจนาบทคาถา “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหัตโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดย คำว่า

“นะโม”  ผู้กล่าวคือ พญายักษ์สันตาคีรี

“ตัสสะ”  ผู้กล่าวคือ องค์สุรินราหู

“ภะคะวะโต”  ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ

“อะระหัตโต”  ผู้กล่าวคือ พระอินทร์ เป็นคำนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สัมมาสัมพุทธะสะ”  ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาพรหมสหัมปติ

         ทั้งหมดนี้ทวยเทพทั้งหลายทั้งหลายทั้งยักษ์ และเทวดาต่างกล่าวนอบน้อมพระพุทธองค์ในวันแรกที่ตรัสรู้ได้อนุตรธรรมคือพระนิพพนานธรรม ดังจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้กล่าวคำกล่าวนอบน้อมนั้นมีอสุรินทร์ราหูร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีพญายักษ์ ที่ชื่อสาตาคิรีอีกหนึ่ง และท้าวเวสสุวัณผู้เป็นจอมยักษ์อีกหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วทรงบุญญาธิการทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ ของผู้เขียนกล่าวผู้ที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยดีแล้ว และเคารพในคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพเทวดาทั้งหลายเป็นอาทิ

         หากทำการท่องคำว่า “นะโมตัสสะ” ด้วยความเคารพศรัทธาก็สามารถกันภูตผีปีศาจได้ เพราะเป็นคำกล่าวของพระราหู มีบารมีธรรมแห่งพระราหูอยู่ ภูติผีปีศาจทั้งหลายย่อมเกรงกลัวพระราหูฉันใดผู้ที่มีความเคารพพระราหูย่อมได้บารมีข้อนี้ตามไปด้วย นอกจากนี้นะโมที่เราสวดนั้นยังมีเทพเทวาอีกหลายพระองค์จึงเป็นคำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การท่องทุกครั้งหากได้ระลึกถึงเทพเทวาทั้งหลายนี้แล้วย่อมเป็นสิริมงคลสูงสุด


       ไตรภูมิพระร่วง นับเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของไทยเรามีเรื่องราวทั้งทางพระพุทธศาสนาและทางพราหมณ์ เข้าไว้ด้วยกัน ผู้แต่งคือพระญาลิไทยกษัตรย์สมัยกรุงสุโขทัย ในคัมภีร์เล่มนี้บรรยายถึงเมืองอสูรและลักษณะของพระราหูไว้โดยละเอียดดังนี้

          ลักษณะของพระราหู ในคติไทย เป็นเทพอสูรมีกายสีนิลออกไปทางทองสัมฤทธิ์ มีกายครึ่งท่อน บ้างก็เต็มองค์ บ้างก็เป็นครึ่งอสูรครึ่งนาค ปากขบ ตาโพลง มี ๒ กร ทรงกระบองเป็นอาวุธ สวมมงกุฎน้ำเต้า สวมอาภรณ์สีทองและสีม่วง ทรงเครื่องประดับด้วยทองคำ ทองสัมฤทธิ์ และแก้วนิลรัตน์ ทรงครุฑเป็นพาหนะ ในคติฮินดู เป็นเทพอสูรมีกายสีนีล กายใหญ่ มีเศียรใหญ่ มี ๔ กร ทรงคทา ตรีศูล คทา ดาบ โล่ ฯลฯ สวมมงกุฎทองคำ สวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ทรงเครื่องประดับด้วยทองคำ ทองสัมฤทธิ์และแก้วนิลรัตน์ ทรงเสือหรือราชสีห์เป็นพาหนะ บ้างก็วาดพระราหูให้มีแต่หัว สถิตบนดอกบัวบนราชรถเทียมด้วยเสือ บ้างก็วาดพระราหูมีหัวแล้วมีหางนาค ในพระพุทธศาสนา

           พระอสุรินทราหูองค์นี้ เป็นองค์อุปราชของท้าวพรหมทัตตาสูร ได้ปกครองด้านทิศเหนือของอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็ง และมีใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบรรดาอสูรทั่วๆ ไป ร่างกายของอสุรินทราหูนี้ มีอัตภาพใหญ่โตมากกว่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ โดยมีกายสูงถึง ๔,๘๐๐ โยชน์ รอบกายหนา ๖๐๐ โยชน์ ศีรษะใหญ่ ๙๐๐ โยชน์ รอบศีรษะกว้าง ๑,๒๐๐ โยชน์ บริเวณหน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ คิ้วกว้าง ๒๐๐ โยชน์ ระหว่างคิ้วยาวห่างกัน ๕๐ โยชน์ ตาใหญ่ ๒๐๐ โยชน์ จมูกกว้างยาวได้ ๓๐๐ โยชน์ ปากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ แก้มสองข้างใหญ่ข้างละ ๑๘๐ โยชน์ ระหว่างแขนทั้งสองยาว ๑,๒๐๐ โยชน์ คอ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าหนา ๓๐๐ โยชน์ ข้อนิ้วยาว ๑๕ โยชน์ นิ้วยาว ๕๐ โยชน์ เมื่ออสุรินทราหูยืนในมหาสมุทร นํ้าในมหาสมุทรท่วมเพียงแค่หัวเข่าเท่านั้นเอง เมื่อพระอสุรินทราหูมีใจริษยาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็จะขึ้นไปยังเขายุคนธรเพื่อบดบังดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โดยการอมไว้บ้าง ซ่อนไว้ใต้คางบ้าง เอามือบังบ้าง เหน็บไว้ใต้รักแร้บ้าง พระอสุรินทราหูหากใช้มือตักน้ำจากมหาสมุทร แล้วโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า จะก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พระราหู ยังมีนามอื่นๆอีก อาทิ เช่น พระสวรรภานุ,พระอรรธกาย,พระอรรธศีรษะ,พระนีลโลหิต,พระมหาวีรยะ,พระสุรศัตรู,พระตมัส,พระเมฆวรรณ,พระกฤษณสรรปราช,พระตโมรูป,พระนีลวัสนะ,พระศูระ,พระอัษฏมเคราะห์,พระศเนรมิตร ฯลฯ

ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ (เลขแปดไทย) และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวผีโขมด ๑๒ หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๒ เป็นเทวดาของผู้ที่เกิดวันพุธในเวลากลางคืนนอกจากนี้ยังใช้แทนดาวมฤตยู (ดาวยูเรนัส) และเทียบได้กับยูเรนัส หรือไทฟอน ตามเทพปกรณัมกรีก

ส่วนราหูทางสากลและอินเดียคือจุดตัดของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิตย์ตัดกับวงโคจรดวงจันทร์โคจรรอบโลก คือช่วงที่เป็นจุดตัดที่มีทิศทางการโคจรของดวงจันทร์จากที่อยู่ทิศเหนือของเส้นวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์กำลังเดินลงไปทางทิศใต้ของเส้นวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์


       ที่อยู่ของพระราหูคือดินแดนที่เรียกว่า อุตรกุรุทวีป เป็นดินแดน ลี้ลับที่มนุษย์มาสามารถเห็นไม่สามารถเข้าไปได้ แต่จะรู้เห็นและเข้าไปได้ก็แฉพาะผู้สำเร็จณานสมาบัติเท่านั้น ในดินแดนนี้มีพญาอสูรผุ้เป็นใหญ่ ๒ ตน ตนหนึ่งคือพระราหู อีกตนหนึ่งคือ ท้าวพรหมทัต พระราหูนั้นมีร่างกายและกำลังมากกว่าบรรดาอสูรและพญาอสูรทั้งหลาย ยามเมื่อพระราหูเห็นพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดีสุกสว่างครั้งใดก็มักมีใจโกรธแค้นต้องขึ้นไปบนภูเขาชื่อยุคันธรจากนั้นก็อ้าปากอมพระอาทิตย์พระจันทร์ไว้เสีย บางครั้งก็เอาคางปิดไว้ บางครั้งก็หนีบไว้ไต้รักแร้ดั่งนี้    

 

กรุณากรอกข้อความ...
Visitors: 172,429