ดาวบุพกรรม

                                                        
                ดาวบุพกรรม โดยอาจารย์อรุณ  ลำเพ็ญ
งานทำบุญบ้านนายอำเภอ  ซึ่งเป็นปกติของผู้มีอำนาจวาสนาแม้จะไม่มีการ์ดบอกกล่าวเชิญแต่พอตกบ่ายแดดร่มลมตก แขกเรื่อก็มากันเองมากมาย บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลวงเล็กอยู่แล้วยิ่งคับแคบไปอีก เมื่อแขกมากันจนเต็มห้องรับแขก และล้นออกมาถึงระเบียง ลามจากระเบียงลงไปสู่สนามหญ้าหน้าบ้านจนเก้าอี้เตรียมไว้รนับรองไม่พอนั่ง แขกต้องยืนคุยกันเองเป็นกลุ่มๆ 

อันที่จริง จะถึงวันเกิดในวันรุ่งขึ้น ครั้นจะทำบุญวันเกิดโดยตรงก็จะเป็นงานใหญ่และอาจเกิดครหา เพราะฐานะหน้าราชการนายอำเภอเป็นตำแหน่งซึ่งเกือบจะใหญ่ในจังหวัด จึงจัดเป็นงานทำบุญบ้านโดยวันนี้นิมนต์พระสงฆ์สวดมนต์เย็น และรุ่งขึ้นจึงนิมนต์สงฆ์ชิดเดิมฉันเช้าอันเป็นธรรมเนียมทำบุญแบบเก่าซึงสิ้นเปลืองมากในปัจจุบัน จึงใช้วิธีลัด คือ สวดบ่าย สวดมนต์เย็นถวายจตุปัจจัยไทยทานแล้วก็เลิกกัน 

หลวงตาชื้นซึ่งเป็นที่นับถือของนายอำเภอและคุณนายมานานส่งคนไปนิมนต์และรับตัวมาตั้งแต่บ่าย ก่อนเวลาสวดมนต์ท่านนายอำเภอได้จัดห้องพราะเป็นที่พักเพราะสงบไม่พลุกพล่าน 

หลวงตาชื้น นั่งบนอาสนะกลางห้องและศิษย์วัดผู้ติดตามก็คือหมอเถา ซึ่งแต่งกายอย่างพยายามให้เรียบร้อยที่สุด นั่งพับเพียบเรียบร้อยสำรวมกิริยา คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆมีแต่ญาติๆและคนใกล้ชิดนายอำเภอนั่งอยู่เบื้องหน้า 

มีแขกพิเศษผู้หนึ่งเดินแหวกกลุ่มสนทนาเข้ามาอย่างอาจหาญไม่เกรงใจผู้ใดทั้งสิ้น ตรงเข้ามาหาหมอเถา กอดคอทักทายสนิทสนม 
“หมอจ่า…” 
รอบวงสนทนาหัวเราะกันคิกคักทั้งหญิงชาย หมอเถาพลอยหัวเราะไปด้วย แต่ก็อดเก้อๆกระดากมิได้ 

หมอเถาเอานิ้วชี้จิ้มหน้าอกเด็กชายน้อยๆอายุ 2 ขวบเศษ ซึ่งหมอเถาอุ้มร้องเพลงยี่เกกล่อมมาก่อน เมื่อครั้งแม่เจ้าหนูน้อยหลอกทิ้งไว้ให้ที่กุฏิหลวงตาเมื่อ 2 ปีก่อน จนต้องยกให้เป็นบุตรบุญธรรมนายอำเภอ 
“นี่ พ่อคุณบุญเกื้อ บอกแล้วว่าอย่าเรียก หมอจ๋า ให้เรียกลุงหมอหรือไม่ก็ถือเป็นเพื่อนกัน เรียกหมอเฉยๆก็ได้” 
เด็กน้อยแววตาลาดหัวร่อร่า “เรียกหมอเหมือนเรียกเพื่อนเล่น เหรอ” 
“เออ…คะรับ” หมอเถานึกว่าตัวเองฉลาดที่ล่อหลอกเด็กได้ “ไหนเรียนใหม่ซิต้องเรียกคะรับด้วยน๊ะ” 
“ไอ้หมอเถาครับ” เด็กเรียกชัดถ้อยชัดคำ 
หมอเถาร้องเอิ๊บ “กลับหนักเข้าไปอีก โธ่ ทำไมเรียกยังงั้น” 
เด็กน้อยตอบซื่อ ๆ “ฉันเรียกเพื่อน ไอ้ ทุกคนนี่” 
หมอเถาเสียท่าเด็กเกาหัวแกรก มองหน้าใครๆที่นั่งอยู่ เขายิ้มขบขันกันทุกคน “โธ่..พ่อบุญเกื้อเอ๋ย มันน่าเปลี่ยนชื่อเป็นพ่อบุญเหลือ เหลือรับทานๆจริง” 
พี่เลี้ยงคลานเข้ามา จูงข้อมือให้ออกมาเพราะเกรงบ่อนแตกพอแยกตัวได้ ก็บอกให้กราบหลวงตาเสียก่อน เด็กน้อยบุญเกื้อก้มลงกราบอย่างว่าง่าย 

หลวงตาชื้นลูบหัวเจ้าเด็กที่ตั้งชื่อให้ด้วยความเมตตาและให้ศีลให้พร ให้อายุมั่นขวัญยืนและก้มลงกระซิบเบาๆ “ลองเรียกเพื่อนหมอเถาอย่างเมื่อกี้อีกทีซิ” 
เด็กน้อยไร้เดียงสา มองหน้าหมอเถาเรียกชื่อยานคางช้า ๆ ชัดคำ “อ้าย..หมอ..เถา” 
หมอเถาขำไม่ออก ชักนึกเคืองเจ้าเด็กจะทำอะไรไม่ถนัดเพราะต่อหน้าแขกที่เขากำลังหัวเราะชอยบอกชอบใจ จึงแอบเข้าไปกระซิบข้างหูพอได้ยินกันตัวต่อตัว แก้แค้นให้หายเจ็บใจ “อ้าย..บุญ..เกื้อ” 

พอคุณลูกจอมแก่นถอยออกไปครู่เดียว คุณพ่อนายอำเภอก็หลบแขกเข้ามาหาหลวงตา มีแขกติดตามหลังเข้ามาหลายคน เพราะเพิ่งรู้ว่าหลวงตาชื้นอยู่ในห้องนี้ 

ท่านนายอำเภอเอ๋ยแนะนำชายอายุไล่เลี่ยที่คลานเข้ามานั่งอยู่ข้างๆ “พี่ชายผมเองครับหลวงตา อยู่กรุงเทพฯชอบเล่นโหราศาสตร์มาก อยากคุยกับหลวงตาเหลือเกิน” 

หลวงตายิ้มรับและยกมือรับไว้ “ยินดีที่รู้จักคุณ มีธุระอะไรจะใช้สอยอาตมายินดีเสมอ เพราะนายอำเภอมีบุญคุณกับอาตมามากเหลือเกิน เป็น “โยมอุปถาก” ให้อาตมา “ถาก” ได้เสมอมา” 
“เมื่อปลายปีก่อน กระผมลงมาเยี่ยมน้องก็เคยแวะไปหาหลวงตาบังเอิญแขกมากเลยมิได้คุยกัน” 
“อ้อ อาตมาจำได้แล้ว คุณไปกับนายอำเภอท่าน” หลวงตานึกออกและไม่ทันจะพูดอะไรต่อไปอีก ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวผงะหลังจนเอามือยันพื้น เพราะมีมือลึกลับยื่นยาวลอดคนนั่งหน้าเข้ามาหาหน้าตักหลวงตาใส่สร้อยข้อมือเป็นมือผู้หญิง เนื้อขาวสะอาด หมอเถานั่งอยู่ข้างๆก็ตกใจจึงตะครุบจับไว้มั่น เพราะกลัวจะถูกจีวรหลวงตา 

เจ้าของมือเป็นหญิงวัยกลางคนแหวกคนนั่งเข้ามาสะบัดมือจากหมอเถา แล้วแถมค้อนให้เต็มวง 
“มาจับมือถือแขนฉันไว้ทำไม” 
หมอเถาได้สติชักกระดาก ตอบอึกอัก “ผมกลัวถูกหลวงตาศีลขาดซีคะรับ คุณนาย” 
“ฉันจะให้หลวงตาท่านดูดวงชะตา” มือข้างที่ยื่นมายังถือการ์ดดวงชะตาไว้แน่น และกลับยื่นให้หลวงตาอีก 
“กรุณาตรวจดูดวงชะตาให้อิฉันสักหน่อยเถอะค่ะ จะมีอายุขัยไปสักเมื่อไรถึงจะหมดอายุ” 
หลวงตาต้องก้มหน้ามองลอดแว่นพิจารณาดูหน้าอย่างถี่ถ้วนพินิจพิเคราะห์เพราะไม่รู้เป็นใคร 
ท่านนายอำเภอรู้ใจหลวงตามาแต่ไหนแต่ไร จึงรีบแก้ตัวแทน “อย่ากวนหลวงตาเลยคุณศรี หลวงตาท่านเพิ่งมาเหนื่อยๆประเดี๋ยวก็จะสวดมนต์อยู่แล้ว” 

คุณศรี เศรษฐีนีเมืองชุมพร ซึ่งคุ้นเคยกับนายอำเภอตั้งแต่ยังรับราชการอยุ่ที่โน่นและตามลงมาช่วยงาน“อิฉันขอพิเศษสักครั้ง พรุ่งนี้เสร็จงานนายอำเภอแล้ว อิฉันก็จะกลับรถเร็วคงไม่มีโอกาสอื่นอีก” 

หลวงตานิ่งอึ้งเกรงใจนายอำเภอ แต่ก็ไม่ยอมรับดวงไว้ มองหน้านายอำเภอเหมือนจะภามว่าควรจะทำอย่างไร นายอำเภอจึงแนะนำถึงความคุ้นเคยกับเจ้าของดวงชะตาให้หลวงตารู้ตื้นลึกหนาบาง 

คุณศรียังมองทีท่าหลวงตาไม่ออก จึงพูดต่อไปอีก “มีหลายๆหมอเขาดูว่าอิฉันจะอายูสั้น จึงอยากให้หลวงตาตรวจซ้ำอีกทีค่ะ” 
หลวงตายิ้มหันไปทางพี่ชายนายอำเภอ “อ้า…คุณพี่ชายนายอำเภอ…คุณเล่นโหราศาสตร์มาเคยพบกฏเกณฑ์หรือตำรับตำราทายวันตายวันหมดอายุของมนุษย์ มีหรือไม่” 
เขาตอบโดยไม่ลังเล “ยังไม่เคยพบขอรับ อาจจะมีหรือไม่มีผมรู้ไม่ถึง” 
“น่านนะซี…” หลวงตาชื้นหันไปทางคุณศรี “อาตมาก็ยังเรียนไม่ถึงขั้นนั้น แม้แต่เหตุการณ์ในระยะใกล้ๆ เช่นอาทิตย์หน้า เดือนหน้า ยังทายเขาไม่ใคร่ถูก จะหาญไปดูถึงวันหมดอายุเขา ซึ่งมันไกลโพ้น มันจะเป็นการอุตริมนุษย์ธรรมไปน่ะคุณ” 
“ก็หมออื่น ๆ เขาดูได้ล่ะเจ้าคะ” เธอยังเถียงค้าน 
“ก็เขาเรียนกันมาสูงๆกว่าอาตมามากน่ะซี บางคนบางหมออาจบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญาฌานอันวิเศษ รู้บุญรู้กรรมของมนุษย์ที่จะสิ้นบุญสิ้นกรรมได้” 
หมอเถารุ้ใจหลวงตาว่าท่านเคืองๆ เลยเทศน์โปรดสัตว์เสียเลย ตามวิสัยสงฆ์ แต่คุณศรีแกก็ยังไม่เข้าใจกลับโต้คำมาอีก 
“เขาว่าดวงชะตาซึ่งมีดวงดาวบอกทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกต้อง ก็เมื่อความตายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ของชีวิต ทำไมดวงชะตาจะไม่บอกเชียวหรือเจ้าค่ะ” 
หมอเถาเป็นคนทึบ ฟังปัญหาแล้วใจคอไม่สบายแทนหลวงตาอาจารย์ จึงรีบรินน้ำชาประเคนถวาย เพื่อจะได้ให้หลวงตาสบายอารมณ์ตอบได้คล่องแคล่ว 
หลวงตารับน้ำชามาจิบดื่ม ใบหน้ายิ้มละมัยเหลียวดูใบหน้าคนที่นั่งอยู่ทุกคน กำลังสนใจอย่างจริงจังจึงเอ่ยช้าๆ 

“ในทางโหราศาสตร์ ดาวในดวงกำเนิดจะถือว่าเป็นบุพพกรรมที่จะแสดงผลและดาวจรจะถือเป็นดาวปัจจุบันกรรม ถ้าบุพพกรรมมีโทษอยู่ ปัจจุบันกรรมส่งผลโดยดาวจร ก็จะมีผลร้ายแรงและจริงจัง ดวงดาวจะบอกถึงเหตุ และผลจากเหตุได้
เช่น จะเกิดอุบัติเหตุ และตนจะได้รับเคราะห์บาดเจ็บหนักหรือเบาบอกได้ แต่จะพยากรณ์ถึงขนาดต้องตายนั้นก็ต้องใช้วิธีเดาร่วมด้วย โหราศาสตร์ใช้ดวงดาวเป็นสิ่งบอกเหตุบอกผลแต่เฉพาะในวิสัยอันจะพอกำหนดได้เท่านั้น มิได้บอกทุกสิ่งเหมือนดวงแก้วสารพัดนึกหรอก” 
พี่ชายนายอำเภอเป็นคนมีอายุและมีความคิดในเหตุผลยกมือพนม “ผมเห็นด้วยกับหลวงตาขอรับ” 

หลวงตายังนึกคิดต่อไปอีกจึงพูดต่อ “ในทางธรรมย่อมถือว่ามนุษย์ดำรงชีพอยู่ในโลกเพื่อเสวยผลกรรมแห่งตน ซึ่งมีทั้งอดีตกรรมและปัจจุบันกรมเป็นที่ตั้ง นรกสวรรค์ก็อยู่บนพื้นโลกรวมกันนี้แหละ ผู้มีกรรมเก่าเป็นกุศลกรรมอันดีมาย่อมเสวยสุขในชาตินี้บนโลกเป็นผู้มีทรัพย์มีอนามัยดี มีสิ่งแวดล้อมดี เหมือนอยู่ในสวรรค์ ส่วนผู้มีกรรมเก่าชั่วอันเป็นบาปกรรม ก็ย่อมเกิดมาเสวยทุกข์ทรมานดิ้นรนต่อสู้เอาตัวรอด อดอยากแร้นแค้น บ้างก็ทรมานด้วยโรคาพยาธิ ก็คืออยู่ในนรกบนพื้นโลกอันเดียวกับสวรรค์นั่งเอง” 

พอหลวงตาหยุดพูด พี่ชายนายอำเภอตั้งกระทู้ถาม เพราะกำลังกระหายจะรู้ “แล้วความตายเป็นชะตากรรมหรือผลแห่งอดีตกรรมขอรับ หลวงตา” 
หลวงตานิ่งคิดลำดับความจำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบเล่นสำนวนเป็นกลอนว่า 
“ปรมัตถอิธรรมทานจำแนก ได้แบ่งแยกบัญญัติจัตุผล 
ซึ่งความตายวายชีพนรชน ดังยุบลแจ้งจัดเป็นปัจจัย 
อายุกฺขเยน นั้นหนอมรณา สิ้นชีวาด้วยบรรลุอายุขัย 
และสังขารถึงพิกัดปัจฉิมวัย พิลาลัยล่วงลับลำดับกาล 

กมฺมกฺขเยน นั้นจะแจ้ง ดังสิ้นแสงสุริยะอวสานต์ 
ที่มีบุญสิ้นบุญจะบันดาล ที่มีกรรมสิ้นการทรมา 
อุภยกฺขเยน สละจิต ด้วยชีวิตล่วงขั้นชัณษา 
สิ้นทั้งบุญทั้งกรรมที่ทำมา ถึงสัญญาถึงสมัยบัลลัยลาญ 
อุปจฺเฉทกกมฺม ซึ่งสำแดง เป็นด้วยแรงกรรมกล้ามาประหาร 
ให้ชีวันอันตรายต้องวายปราณ ทิ้งวงศ์วานให้ชอกช้ำด้วยลำเค็ญ” 
คุณศรีถึงจะอย่างไรก็เป็นคนยึดมั่นในธรรมแห่งศาสนา และเชื่อมั่นในพระสงฆ์มิได้โต้แย้ง แต่ความสงสัยยังไม่สิ้นกระแสความ จึงค่อย ๆ ถามเกรง ๆ ใจ ไม่เหมือนหนแรก 
“มีบางหมอเขารับจะทำพิธีต่ออายุให้ แต่ดิฉันไม่เชื่อสนิทใจนัก จึงใช้ทำบุญทำทานหวังในกุศลผลบุญจะได้ส่งให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกได้ อิฉันเข้าใจถูกหรือผิดเจ้าค๊ะ” 
วันนี้หลวงตาชื้นมีอารมณ์ครื้นคิดจะเป็น “สุนทรชื้น” จึงตอบเป็นคำอรรถคำกลอนต่อไปอีก 

อันความจริงสิ่งนี้มีมานาน พุทธกาลเมื่อนางวิสาขา
นิมนต์สงฆ์ทรงฉันโภชนา สองพันองค์ทรงมาทุกวันวาร 
ประพฤติธรรมบำเพ็ญเบญจศีล เป็นอาจินต์ตั้งอารมณ์พรหมวิหาร 
มีธิดาช่วงใช้ไทยทาน เยาวมาลย์ “สุทัต ตี” ศรีวิไล 
เกิดเวรกรรมจำพรากจากฤดี กุมารีสิ้นชีวาอายุขัย 
เธอโศกเศร้าแสนอนาถแทบขาดใจ อรทัยคิดคำนึงถึงชีวี 
จึงเข้าเฝ้าอาภิวาทศาสดา พระสัมมาพุทธองค์ผู้ทรงศรี 
ดำรัสถามบุญญาบารมี ซึ่งนางนี้สร้างไว้ใหญ่อนันต์ 
เหตุไฉนใยกรรมนำวิบัติ จึงมาตัดลูกยาให้อาสัญ 
แรงกุศลไม่อำนวยช่วยชีวัน กระหม่อมฉันมิเคยสร้างทางอบาย 
พุทธองค์ทรงดำรัสพระสัทธรรม บุพพกรรมนำวิบัติสัตว์ทั้งหลาย 
ปุริมชาติฆาตชีวันอันตราย ต้องวางวายใช้ชีวีแก่หนี้เวร 
อันมนุษย์พูดไปทำไมเล่า พระเป็นเจ้าโมคคัลลามหาเถร 
องค์สาวกเบื้องซ้ายถวายเวร ไม่ว่างเว้นเคียงอาสน์ศาสดา 
อนันตกรรมสำคัญบรรพชาติ โจรพิฆาตแสนอนาถอนาถา 
เหลือพระธาตุขนาดเมล็ดงา กุศลลามิได้ช่วยอำนวยชนม์” 

ท่านนายอำเภอเข้ามานิมนต์หลวงตาชื้น เพราะท่านเป็นพระอาวุโสกว่า ต้องเข้าประจำที่สวดมนต์ก่อนพระทั้งหลายจึงจะเข้านั่งอาสน์ได้ 
หลวงตาหันไปทางพี่ชายนายอำเภอเพราะยังมีเรื่องที่พูดค้างกันอยู่ “พรุ่งนี้ ถ้าคุณยังไม่กลับ ขอเชิญที่กุฏิคงจะคุยกันถึงเรื่องโหราศาสตร์ได้มาก” 
เขาพนมมือรับคำ “ขอรับ พรุ่งนี้ผมจะไปหาหลวงตาแน่นอน” 
​​​​​​​
หลวงตาลุกขึ้น จัดจีวรเข้าที่ หมอเถาบ่นพอได้ยินกันสองคนระหว่างศิษย์กับอาจารย์ 
“หลวงตาเทศน์เป็นกลอนออกไพเราะ ไม่ยักกะมีกัณฑ์เทศน์” 

--------------------------------------------------------------
ที่มา : https://www.horawej.com/​​​​​​​
 
#คุณยายกลิ่นโสม
#คุณยายเล่าเรื่องจากเรือนดาว
#โหราศาสตร์ไทยเรียนง่ายกว่าที่คิด
#เรียนโหราศาสตร์ไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#อ่านดวงไทยสบายสบาย ตามสไตล์คุณยายกลิ่นโสม
#โหราศาสตร์ไทยเรียนด้วยตนเองฉบับคุณยายกลิ่นโสม   
#เรียนโหราศาสตร์ไทยฟรี ที่เวปนี้นะ:: htthttp://www.baankhunyai.com
  --------------------  
 
Visitors: 172,685