การให้ฤกษ์ แบบโบราณ

         

                       การให้ฤกษ์แบบโบราณ โดยอาจารย์ประทีป อัครา
ก่อนจะพูดถึงเรื่อง การให้ฤกษ์แบบโบราณ ตามหัวข้อที่ตั้งไว้   ผมมีเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่สนใจศึกษาวิธีพยากรณ์บ้างเรื่องหนึ่ง จึงขอนำมากล่าว ก่อนคือ ในสองสามเดือนที่ผ่านมานี้   ปรากฎว่านักพยากรณ์ที่ใช้ดวงอีแปะแบบไทย   โดยเฉพาะผู้ที่กำลังศึกษาหาความรู้กันเกิดความหวั่นไหววุ่นวาย เพราะถูกโยกคลอนความมั่นใจในหลักพยากรณ์กันไม่น้อยเนื่องมาจากมีคนบอกว่า  ดวงอีแปะ  เป็นดวงหยาบ  ไม่มีข้อมูล  จะดูได้อย่างไร   พวกที่ดูกันได้ก็คือพวกที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษหรือสำเร็จญาณวิเศษอย่างพระบรมศาสดาเท่านั้น และว่าการจะพยากรณ์ให้ถูกต้องแม่นยำนั้น   จะต้องดูดวงที่ดาวมีสมผุสองศา– ลิปดา   ต้องดูดวงนวางศ์ ทวาทศำศะ ฯลฯ ด้วย จึงจะได้

                       
         
เมื่อมาถามผมว่า มีความเห็นอย่างไร ผมก็บอกว่า คุณไปเอาเลขประถมสี่มาทำเป็นเลขมัธยมแปดมันก็ยุ่งนะซิ  ทำไมไม่คิดง่าย ๆ ว่า ถ้าดวงอีแปะใช้ดูไม่ได้จริงอย่างว่า ชื่อเสียงเกียรติคุณของโหรไทยจำนวนมากมายจะมีให้เราได้ยินได้รู้กันอยู่ทุกยุคทุกสมัยหรือ อย่างเช่น ท่านอาจารย์นวม  ท่านมหาอิน  ท่านเจ้าคุณวัดเกาะหลัก  และท่านสมเด็จวัดสระเกศ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้รับความเคารพยกย่องในการพยากรณ์ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า  ท่านใช้ดวงอีแปะเป็นหลักเท่านั้น  โดยที่ท่านไม่ได้สำเร็จญาณวิเศษเหมือนพระบรมศาสดา หรือมีพรสวรรค์พิเศษอะไรเลย

การที่ผมเอาเรื่องการพยากรณ์ดวงอีแปะมาพูดนี้    ไม่ได้ต้องการจะโต้เถียงเอาชนะกันว่า การพยากรณ์แบบไหนดีกว่ากัน ต้องการเพียงเพื่อช่วยเพื่อนนักโหราศาสตร์ที่ยังไม่เข้าใจข้อเท็จจริง  ได้เกิดความเข้าใจที่ถูกที่ควรเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจเหตุผลที่ว่าเพราะอะไรโหรไทยตั้งแต่โบราณกาลมาตราบถึงปัจจุบันจึงใช้ดวงราศีจักรที่เรียกว่า ดวงอีแปะ  โดยไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ละเอียดอย่างอื่น ๆ ประกอบ ก็ขออธิบายด้วยการยกตัวอย่างมาอุปมาอุปมัยให้ฟังว่า   ขั้นเรียนหรือขั้นฝึกหัด   กับขั้นปฏิบัตินั้นไม่เหมือนกัน อย่างเช่น เด็ก ๆ ที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือใหม่ ๆ จำเป็นต้องอาศัยเส้นบรรทัดช่วยเพื่อให้เขียนได้ตรง แต่เมื่อเข้าใจหลักการเขียนและฝึกจนชำนาญแล้ว   เส้นบรรทัดก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น  ถึงไม่มีก็เขียนได้  หมายถึงการเรียนควรจะรู้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้เพื่อเพิ่มทัศนวิสัย แต่ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ทั้งหมด
         
ดวงอีแปะ   จึงเปรียบเหมือนกระดาษที่ไม่มีเส้นบรรทัด   ผู้ที่เรียนโหราศาสตร์  เข้าใจ แล้ว จะดูได้พยากรณ์ได้ทุกคน ไม่ต้องอาศัยหลักเกณฑ์ละเอียดอื่น ๆ ให้รุ่มร่ามรุงรังอีก อีกนัยหนึ่ง  ขั้นเรียนนั้นเปรียบเสมือนตอนเลือกทุเรียน ต้องดูทั้งลูก คือ ดูทั้งลักษณะผล ดูทั้งลักษณะหนาม ดูทั้งลักษณะก้าน  จึงจะรู้ว่าเป็นพันธุ์อะไร ดีแค่ไหน   แต่ขั้นปฏิบัติพยากรณ์นั้นเปรียบเหมือนตอนกินทุเรียน  เราเลือกกินกันแต่เนื้อ ไม่ใช่กินหมดทั้งลูก

เจ้าตำรับดวงละเอียดซึ่งนับได้ว่าเป็นปรมาจารย์ของบรรดาโหรภารตะนอกประเทศอินเดีย ทั้งหลาย  เพราะเป็นผู้สังคายนาสรรพตำราคัมภีร์โหรภารตะส่วนใหญ่  เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษ เผยแพร่ออกสู่โลกภายนอกให้ได้ศึกษากัน  คือ  Dr. B.V. Raman   หลังจากเอารายละเอียดเรื่อง  Varcas ได้แก่ ส่วนต่าง ๆ ของราศี คือ โหรา ตรียางศ์  นวางศ์  ทวาทศางศ์  ฯลฯ  มาแจกแจงจนคนอ่านตำราเคลิบเคลิ้มเลื่อมใส ยึดถือว่าเป็นหลักวิชาชั้นสูงแล้ว  เวลาพยากรณ์นั้น Dr. B.V. Raman เองใช้อย่างไร  อยากทราบไหมครับ ?  ท่านสอนวิธีการพยากรณ์ไว้ในตำราของท่าน ว่า
 
The Horoscope – For ordinary purposes of prediction zodiacal diagram (Rasi Chakra) with the ascendant marked is sufficient.
 
แปลเป็นใจความว่า
 
ดวงชะตา  สำหรับใช้ในการพยากรณ์โดยทั่วไป  มีแค่ดวงราศีจักร (ราศีจักรา) ที่มีลัคนา ก็ใช้ได้แล้ว
 
ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่สามารถก้าวจาก  ขั้นรู้  เพราะได้อ่านตำราขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง คือ ถึง  ขั้นเข้าใจ  แล้วต่างจะเห็นด้วยกับคำสอน ของ  Dr. B.V. Raman ที่ยกมาข้างต้นด้วยกันทุกคน เพราะต่างก็จะพบจะเห็นเหมือนกันว่า แก่นแท้ของการพยากรณ์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ ดวงราศีจักร หรือ ดวงอีแปะ นี่เอง
         
ดวงราศีจักรหรือดวงอีแปะเปรียบเสมือนบ้านส่วนหลักเกณฑ์ละเอียดต่าง ๆ เปรียบเสมือน เครึ่องประดับหรือเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นเอง ถ้าไม่เข้าใจเรื่องดวงอีแปะคือไม่รู้ว่าดวงอีแปะดูได้อย่างไร ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีบ้าน แล้วจะเอาหลักเกณฑ์ละเอียดซึ่งเปรียบเสมือนตู้เตียง ชุดรับแขกหรู ๆ ไปวางประดับไว้ตรงไหน จะเอาม่านสวย ๆ ไปแขวนไว้กับอะไรละครับ

ผมขอเรียนแนะนำว่า  การที่จะรู้ว่าหลักวิชาพยากรณ์อย่างไหนดีจริง  อย่างไหนไม่ดีจริงนั้น  รู้ง่ายจะตายไป เพียงแต่สังเกตจากผู้เอาหลักวิชานั้นมาใช้พยากรณ์ก็รู้แล้ว ถ้าผู้รับพยากรณ์ไปแล้ว ยังติดตามยังย้อนกลับมาหาอีก  และยังเที่ยวแนะนำพวกพ้องคนรู้จักต่อ ๆ กันไปให้มาหาทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ละก็ แสดงว่าใช้ได้ละ
        
แต่ถ้าผู้รับพยากรณ์ไปแล้วไปลับ   หรือมาให้พยากรณ์เพราะเห็นว่าดูฟรีก็ดูเล่นสนุก ๆ   หรือมีกลับมาดูแค่กระเส็นกระสาย  อย่างที่ถ้ายึดเป็นอาชีพแล้วอดตายแหง ๆ เพราะนาน ๆ จึงจะมีคนโผล่มาหาสักรายละก็  แสดงว่าหลักวิชาพยากรณ์นั้นน่าจะได้รับการพิจารณาปรับปรุงและเปลี่ยนใหม่แล้ว

เรื่องการพยากรณ์ที่นำมากล่าว   คิดว่าคงจะเป็นการพอเพียง เพียงแค่นี้    และหวังว่าคงจะพอทำให้มองเห็นและรู้จักดวงอีแปะในสถานที่เป็นจริงดีขึ้นบ้าง รวมถึงหวังว่าคงจะช่วยให้เกิดความคิดในการพิจารณาเลือกและยึดถือแนวการศึกษาที่ถูกที่ควรได้บ้างนะครับ หวนเข้าหาหัวข้อเรื่อง  การให้ฤกษ์แบบโบราณ  กันเสียที
         
การที่ผมใช้  แบบโบราณ  ต่อท้าย  การให้ฤกษ์  อาจทำให้บางท่านเกิดความเข้าใจผิดว่า  การให้ฤกษ์ในสมัยโบราณไม่เหมือนกับในสมัยปัจจุบัน หรือใช้คัมภีร์ต่างกัน    ไม่ใช่เช่นนั้นนะครับ เพราะคัมภีร์ฤกษ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกับที่ใช้กันในสมัยโบราณยังคงเป็นคัมภีร์เดิม คัมภีร์เดียวกันนั่นเอง แต่ที่ผมยังมาพูด    ทั้ง ๆ ที่คัมภีร์ที่ใช้เป็นคัมภีร์เดียวกัน   ก็เพราะได้สังเกต เห็นว่าหลักเกณฑ์ดีและน่าจะมีประโยชน์ขาดหายตกหล่นไปจากคัมภีร์ในปัจจุบัน   ซึ่งจะได้นำมาเสนอต่อท่านในวันนี้ ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑.     ช่วงเวลาของฤกษ์
๒.     จุดอับของฤกษ์
๓.     ความสมบูรณ์ของฤกษ์
 
ช่วงเวลาของฤกษ์
หลักเกณฑ์ข้อนี้  ได้สังเกตเห็นว่าตกไปหรือถูกตัดออกไปจากการหาฤกษ์ในปัจจุบัน เช่น   การหาฤกษ์ปลูกบ้านก็ดีหรือหาฤกษ์เดินทางก็ดี ที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป จะหาแต่วันดี แล้วก็หาเวลาที่เป็นฤกษ์ดีกันเลย

การหาฤกษ์แบบโบราณ ถือเรื่องช่วงเวลาของกิจการที่จะหาฤกษ์เป็นของสำคัญมาก เช่น การจะหาฤกษ์ปลูกบ้าน   โหรจะต้องรู้ก่อนว่า บ้านที่จะปลูกนั้นต้องใช้เวลานานเท่าไร  เพื่อหาช่วงชะตาชีวิตที่จะมีความราบรื่นในกิจการดังกล่าวต่อเนื่องกัน  เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเวลาที่จะใช้ในการปลูกสร้างให้ได้ก่อนเป็นขั้นแรก  เพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่า  เมื่อเริ่มการแล้วบ้านหลังนั้นจะต้องเสร็จเรียบร้อย เจ้าของมีโอกาสได้เข้าอยู่อาศัย ไม่ใช่สำเร็จเพียงแค่ยกเสาเอก หรือขึ้นได้แค่โครงยังไม่ทันได้มุงหลังคาก็ต้องหยุดชะงักเสียแล้ว     

ด้วยเหตุที่ตัวเจ้าของที่เป็นหัวหน้าครอบครัวมีอันประสพภัย ลูกเมียที่อยู่หลังไม่มีปัญญาความสามารถจะดำเนินการต่อได้ หรือไม่ก็เกิดคดีพิพาท ถูกอายัดที่ ถูกยับยั้งการสร้าง เป็นต้น   เมื่อได้ช่วงเวลาที่ดีแล้ว จึงค่อยหาวันและเวลาดีที่เป็นมงคลฤกษ์ต่อไป
          
การเดินทางก็เช่นเดียวกัน ในสมัยก่อนโหรจะต้องรู้ก่อนว่า จะใช้เวลาเท่าไรจึงจะถึงที่หมายปลายทาง เพราะการเดินทางในบางครั้งนั้นต้องหยุดพักค้างแรมในระหว่างทางหลายหนก็มี   ที่ต้องรู้ก็เพื่อจะหาช่วงเวลาที่เจ้าชะตาจะสามารถเดินทางได้ถึงที่หมายได้โดยตลอดปลอดภัย    ไม่ใช่ถึงโรงพยาบาลหรือถึงวัดก่อน     เพราะไปประสบอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทาง  หรือถูกจี้ถูกปล้นในระหว่างพักแรม  เป็นต้น   เมื่อได้ช่วงเวลาที่ดีแล้ว จึงค่อยหาวันและเวลาที่ดีที่เป็นมงคลฤกษ์ต่อไป
 
จุดอับของฤกษ์
จุดอับของฤกษ์มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น ดิถีอัปมงคล   ดิถีมหาศูนย์   ดวงฤกษ์ต้องพินทุบาทว์ เป็นต้น หลักเกณฑ์เหล่านี้ในหนังสือตำราฤกษ์สมัยปัจจุบันมีกล่าวถึงอยู่แล้ว จึงจะไม่กล่าวซ้ำอีก

จุดอับที่ตำราฤกษ์สมัยปัจจุบันไม่ได้กล่าวถึง หรือมีกล่าวก็ไม่พอจะทำให้เข้าใจได้ชัดเจนพอ  ซึ่งจะขอนำมาเสนอให้รู้และลองรับไปประกอบการพิจารณาในการให้ฤกษ์ก็คือ  ตรียางศ์ลูกพิษ  ซึ่งมีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน คือ
        ตรียางศ์พิษนาค   ถือเป็นจุดอับของกิจการที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหลาย   เช่น    การเดินทางโดยใช้เรือเป็นพาหนะประกอบกิจการทางน้ำ เช่น เดินเรือ  การประมง  เลี้ยงปลา  เลี้ยงเป็ด  เป็นต้น

        ตรียางศ์พิษครุฑ  ถือเป็นจุดอับสำหรับกิจการที่เกี่ยวกับที่สูงๆ เช่น การเดินทางที่ต้องผ่านเขา สมัยนี้หมายถึง การเดินทางโดยเครื่องบิน  การดักนก  ตีผึ้ง การเลี้ยงสัตว์ปีกทั้งหลาย เช่น เลี้ยงนก หรือ ทำฟาร์มไก่   เป็นต้น

        ตรียางศ์พิษสุนัข  ถือเป็นจุดอับสำหรับการเดินทางทางบก เช่น เดินทางโดยม้า ลา เกวียน หรือ รถยนต์   กิจการด้านธรณี เช่น การทำเหมือง  การเลี้ยงสัตว์บก เช่น หมู วัว  เป็นต้น


 จุดอับที่เป็นตรียางศ์พิษนี้ นอกจากมีผลต่อฤกษ์แล้ว ยังมีผลต่อดวงชะตากำเนิดด้วยคือถ้าเกิดในฤกษ์ที่อยู่ในตรียางศ์ลูกพิษใด ก็ไม่ควรจะประกอบกิจการอาชีพประเภทที่พิษนั้นให้โทษ

เรื่องตรียางศ์ลูกพิษนี้  บางท่านถือหลักปลอดภัยไว้ก่อน คือ เลี่ยงตรียางศ์ลูกพิษเสียหมดทุกประเภทเลย ไม่ว่าพิษอะไรเลี่ยงหมด

แต่ผมคิดว่าการที่คนมีสุขภาพปกติธรรมดาจะพลอยงดบริโภคน้ำตาล เพราะเหตุที่น้ำตาลเป็นของแสลงโรคเบาหวานนั้น น่าจะไม่เป็นการถูกต้อง  แต่ข้อนี้ขอมอบให้แต่ละท่านพิจารณาเลือกยึดถือเอาตามอัธยาศัยเถิด
 

ความสมบูรณ์ของฤกษ์
ในสมัยโบราณถือว่า ฤกษ์ที่จะสมบูรณ์ที่เรียกว่า ปูรณฤกษ์  นั้น จะต้องได้  คู่ฤกษ์  หรือได้ฤกษ์เป็นคู่

 ความจริงความเป็นคู่นั้นเป็นความเจริญงอกงามของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก เช่น พืชพรรณทั้งหลายที่ให้ผลได้ก็เพราะมีเกสรตัวผู้เกสรตัวเมีย   มนุษย์ที่สืบชาติพันธุ์เพิ่งจำนวนขึ้นได้ก็เพราะมีผู้หญิงผู้ชาย สัตว์ก็เช่นกัน และแม้แต่พลังงานไฟฟ้าที่เราใช้เป็นประโยชน์อยู่ในปัจจุบันก็เช่นกัน ต้องมีสายหรือขั้วบวกกับลบจึงจะเกิดวงจร

ปูรณฤกษ์ สำหรับทางคัมภีร์ฤกษ์ หมายถึง ฤกษ์ที่พระจันทร์เสวยกับฤกษ์ที่ลัคนาเสวย เมื่อสัมพันธ์กันแล้ว จะต้องมีความหมายตรงกับกิจการที่จะประกอบ คนละอย่างกับปูรณฤกษ์ทาง คัมภีร์อินทภาส–บาทจันทร์  ซึ่งหมายถึง ฤกษ์ที่เต็มอยู่ในราศีเดียว ไม่คาบเกี่ยวไปอีกราศีหนึ่ง

ฤกษ์ในจักรราศีมีอยู่ด้วยกัน ๒๗ ฤกษ์ ได้ถูกแบ่งออกเป็น ๓ หมู่  ในแต่ละหมู่มีอยู่ ๙ หมวด  ได้แก่ ทฤทโธ มหัทธโน  โจโร  ภูมิปาโล  เทศาตรี  เทวี  เพชรฆาต  ราชา สมโณ

ด้วยเหตุที่ฤกษ์มี ๓ หมู่  แต่ละหมวดฤกษ์จึงมีอยู่ ๓ ด้วยกันทั้งหมด คือ  มี ๓ทฤทโธ    ๓มหัทธโน   ๓โจโร ๓ภูมิปาโล   ๓เทศาตรี   ๓เทวี   ๓เพชรฆาต   ๓ราชา   ๓สมโณ
       
แต่ละหมวดฤกษ์มี ดาวเจ้าฤกษ์ ครองไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ฤกษ์มหัทธโนที่อยู่ในราศีเมษมี ดาวศุกร์ ครองเป็นดาวเจ้าฤกษ์   แต่มหัทธโนในราศีสิงห์มีดาวอังคาร เป็นดาวเจ้าฤกษ์   มหัทธโนในราศีธนูมี ดาวพฤหัส เป็นดาวเจ้าฤกษ์

เพราะเหตุที่ไม่ได้เฉลียวใจสังเกตว่า  เพราะอะไรแต่ละหมวดฤกษ์จึงมีอยู่ถึง ๓    นักโหราศาสตร์จำนวนไม่น้อยจึงพิจารณาแต่ความหมายของชื่อฤกษ์เป็นหลัก  ไม่ได้พิจารณาถึงว่า ฤกษ์ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๓ หมวดนั้น หมวดไหนให้คุณ  หมวดไหนให้โทษ เช่น เวลาหาฤกษ์เปิดร้านเปิดบริษัท ก็เลือกแต่ว่าฤกษ์มหัทธโนกันเท่านั้น  โดยถือความหมายว่า  มห แปลว่ามาก   ธน แปลว่า เงิน   รวมกันแปลว่า เงินมาก  เมื่อไม่พิจารณาถึงว่า ฤกษ์นั้นให้คุณหรือให้โทษ  ก็เลยไม่รู้ว่า ที่ว่าเงินมากนั้น ได้มากหรือเสียมาก   เมื่อพลาดพลั้งไปเจอฤกษ์มหัทธโนที่ให้โทษเข้า  จึงกลายเป็นมีแต่เดือดร้อนเรื่องเงินมาก  ต้องวิ่งเต้นจับแพะชนแกะหมุนเงิน  ใช้หนี้  เสียดอกเบี้ยกันอุตลุด

การจะหาฤกษ์ให้ได้สมบูรณ์นั้น  โหรจะต้องวิเคราะห์กิจการของฤกษ์นั้นให้ออกก่อนว่า ลักษณะกิจการนั้นจะดำเนินไปอย่างไร  เจ้าชะตามีความหวังหรีอมีความประสงค์ในกิจการนั้นอย่างไร ตัวอย่าง เช่น กิจการประเภทขนส่ง หรือกิจการนำเที่ยว กิจการโรงแรม หรือ สร้างโรงหนังโรงละคร จะเห็นได้ว่างานประเภทนี้ต้องอาศัยนักท่องเที่ยว  คนที่เดินทางผ่านมาพักหรือมาชมแล้วก็ผ่านไปเป็นประเภทที่หนึ่ง ผลที่เจ้าชะตาหวังจะได้รับ ก็คือ ประโยชน์และกำไร

เมื่อวิเคราะห์ออกแล้วก็กำหนด คู่ฤกษ์ สำหรับให้ จันทร์กับลัคนาเสวย ได้ว่า  ฤกษ์ที่เหมาะก็คือ    มหัทธโน กับ เทศาตรี คือ เลือกฤกษ์มหัทธโนที่ให้คุณ  ซึ่งจะหมายถึง อิทธิพลของฤกษ์จะส่งเสริมให้ได้เงินมาก เลือกฤกษ์เทศาตรีที่ให้คุณ ซึ่งหมายถึง อิทธิพลของฤกษ์จะดึงดูดให้ให้คนเดินทางผ่านมาพักหรือมาชมมากๆ
          
อนึ่ง  การให้ฤกษ์ในสมัยโบราณ ยังจัดให้ดาวพระเคราะห์คู่ อันได้แก่ คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล เข้ามามีบทบาทในฤกษ์ด้วย ถ้าเป็นฤกษ์ที่ต้องการให้มีคนสนใจนิยม  เช่น  โรงหนัง โรงละคร โรงแรม   ท่านก็จะเลือกจุดที่ดาวเจ้าฤกษ์เป็น คู่มิตรกับดาวเจ้าบาทฤกษ์

ถ้าเป็นฤกษ์ที่ต้องการ อิทธิพลอำนาจ เช่นการต่อสู้ การแข่งขันชิงชัย ท่านจะเลือกจุดที่ ดาวเจ้าฤกษ์ สัมพันธ์เป็นคู่สมพลกับดาวเจ้าบาทฤกษ์

ถ้าเป็นฤกษ์ที่ต้องการ ความมั่นคง ยั่งยืน ถาวร เช่น การปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  ท่านจะเลือกจุดที่ดาวเจ้าฤกษ์สัมพันธ์เป็น คู่ธาตุ กับดาวเจ้าบาทฤกษ์

 เรื่อง  ดาวเจ้าฤกษ์  นี้ ผมเคยมาพูดในที่นี้แล้ว  จึงจะไม่พูดซ้ำอีก   สำหรับท่านที่ไม่ได้มาฟังในครั้งนั้นและสนใจ  เชื่อว่าพอจะค้นดูได้จากพยากรณ์สารเก่า ๆ ที่มีอยู่ในห้องสมุดของสมาคมนี้

 นอกจากหลักการ ให้ฤกษ์  แล้ว  มีข้อที่คิดว่า ควรจะกล่าวถึงด้วยคือ เรื่อง ลางทำลาย

“ลาง” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย ไม่ได้ตั้งใจ
เรื่องเกี่ยวกับ ลาง มีกล่าวอยู่ในวรรณคดีของไทยมากมาย  เช่น    ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนเถรขวาดจอมขมังเวทย์ที่กำหนดแผนการจะไปแก้แค้นพลายชุมพล ได้หาฤกษ์ยามยาตราไว้เป็นอันดีแล้ว  แต่พอ จับไม้เท้าก้าวย่างขยับกาย  เห็นจิ้งจกตกตายมาตรงหน้า ปรากฏว่า การไปของเถรขวาดครั้งนั้นเป็นการไปแบบไม่ได้กลับ เพราะถูกพลายชุมพลกวาดเสียดับดิ้นสิ้นฤทธิ์ไป

 มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ได้ดี  คือ นักโหราศาสตร์มือชั้นครูท่านหนึ่งที่ใคร ๆ ก็เรียกขานยกย่องเป็นอาจารย์  ได้ใช้ความรู้ของท่านหาฤกษ์ปลูกบ้านอย่างพิถีพิถันที่สุด  เพื่อให้ได้ฤกษ์ที่สมบูรณ์ดีที่สุด เพราะเป็นการปลูกบ้านของท่านเอง    ในตอนยกเสาเอกได้มีการโห่ฮิ้วเอาชัยกันอย่างคึกคัก เรียกความสนใจคนที่เดินผ่านบริเวณให้หยุดดูหลายคน  คนหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นคุณป้าที่อยู่ในซอยเดียวกัน ได้กระซิบถามภรรยาของท่านอาจารย์ว่า  คุณนายทำไมถึงปลูกบ้านเดือนนี้ล่ะค่ะ

ภรรยาของอาจารย์ถามว่า  ทำไมล่ะค่ะ คุณป้า
คุณป้าคนนั้น ก็ร่ายความในตำราที่จำจนขึ้นใจให้ฟังว่า  เขาว่า  ปลูกเรือนในเดือนแปดจะร้อนแรดทุรนใจค่ะ

ตอนเย็นเมื่อเลิกงาน  ภรรยาก็บอกกับอาจารย์ซึ่งร่วมวงสุราอาหารที่จัดเลี้ยงช่างถึงคำทักของคุณป้าคนนั้นให้ฟัง  ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นก็ได้แหวเอาว่า  เธอจะไปนิยมนิยายอะไรกะแก แกก็เพ้อของแกไปกับกากตำรา   ฤกษ์ที่ถูกต้องจริง ๆ นั้น เขาหากันตามหลักเกณฑ์ชั้นโหร ไม่ใช่หาจากตำราเล่มละสามบาทห้าบาทที่วางขายกันข้างถนน

ผลปรากฏว่า อาจารย์อยู่บ้านที่อุตส่าห์หาฤกษ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดในชีวิตได้ไม่นาน ก็ต้องตัดใจขายไปหาที่อยู่ใหม่  เพราะเหตุว่าพอมีเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมีใครเจ็บใครป่วย เกิดของหรืออะไรเสียหาย คุณเมียจะหันมาโทษฤกษ์ของอาจารย์ทุกทีไป  ไงล่ะ พ่อโหรเอก ผิดไปจากปากที่คุณป้าแกว่าหรือเปล่าล่ะ  เขาเชื่อกันมาแต่ ปู่ย่าตายาย  อวดเป็นโหรใหญ่ดูถูกโบราณ ถึงได้บานบุรีอย่างนี้

จึงขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตและเป็นเครื่องสังวรไว้ว่า  อย่ามองข้ามหลักเกณฑ์ที่ชาวบ้านเขาเชื่อถือกัน  เพราะถ้าเขาทักขึ้นอย่างที่เล่าให้ฟัง  อาจจะมีผลเป็น  ลางทำลายฤกษ์  ได้

ขอย้ำอีกสักนิดว่า  ลาง  หมายถึง  สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย ไม่ได้ตั้งใจ
ขอนำนิทานเก่ามาเล่าประกอบ เพราะอาจจะช่วยให้เข้าใจได้ชัดขึ้น

วันหนึ่งในตอนเย็น อีแร้งตัวหนึ่งบินลงมาเกาะหลังคากระต๊อบโกโรโกโสของผัวเมียที่แสนจะยากจนคู่หนึ่ง ชาวบ้านคนหนึ่งเผอิญผ่านมาเห็นเข้าและที่ที่ยืนมองเผอิญสวนกับดวงตะวันยามเย็นพอดี จึงเห็นขนที่รอบตัวอีแร้งถูกแสงแดดเหลืองอร่ามเป็นประกาย ความตื่นเต้นทำให้ไม่ทันได้พิจารณาลักษณะนกนั้นโดยละเอียด    กู่ตะโกนบอกเพื่อนบ้านลั่นไปหมดว่า  มาดูเร็ว  พระยาหงส์ทองมาเกาะหลังคาบ้าน มาดูกันเร็ว   ปรากฏว่าอยู่มาไม่นานนัก ผัวเมียที่เป็นเจ้าของกระต๊อบโกโรโกโสหลังนั้น มีโชคมีลาภอยู่เนือง ๆ จนกลายเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านนั้น

ข่าวนี้เล่าลือเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง ต่างยึดเป็นหลักตามความเข้าใจว่า แม้อีแร้งจะเป็นสัตว์อัปมงคล แต่ถ้าปากเราทักเป็นมงคลแล้ว ก็จะกลับร้ายกลายเป็นดี ทำให้มีโชคมีลาภได้ภายหลังเมื่อพบว่า อีแร้งลงเกาะหลังคาบ้านใคร  ทั้งที่เห็นชัด ๆ ว่าเป็นอีแร้ง ก็ยังพากันแกล้งร้องว่า พระยาหงส์ทอง  แต่ก็ไม่ปรากฏว่า มีใครได้ลาภร่ำรวยเหมือนรายที่เป็นต้นเรื่อง

เพราะอะไร  ทราบไหมครับ…..เพราะ คำทักในระยะหลัง ๆ ไม่ใช่  ลาง  เนื่องจาก  ตั้งใจ  ที่จะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ผิดกับคำทักในเรื่องแรก ที่เปล่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเปล่งออกมาดีจึงเป็นลางดีและให้ผลดี

คำทักของคุณป้าเรื่องการปลูกบ้านก็เช่นกัน  เปล่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ  จึงจัดเป็นลาง  เมื่อเป็นลางร้าย จึงทำลายฤกษ์ดีที่อาจารย์เสียเวลาหาแทบแย่เสียสิ้น
 
ป.ล.   เมื่อวันมาบรรยายเรื่องนี้  ก่อนถึงเวลาบรรยาย  ผมมีโอกาสได้พูดคุยสังสรรค์กับนักโหราศาสตร์ที่มาที่สมาคมหลายคน

ผมบอกกับนักโหราศาสตร์ที่เทิดทูนหลักวิชาโหราศาสตร์ภารตะอย่างเหลือหลายท่านหนึ่งว่า

หลักเกณฑ์ของภารตะที่เอามาอ้าง ๆ กันว่า ละเอียดนั้น ยังไม่ละเอียดจริง เพราะเห็นมีแต่ นวางศ์ ได้แก่ ราศีที่แบ่งเป็น ๙ ส่วน  มากขึ้นไปหน่อยก็ ทวาทศางศ์ ได้แก่ ราศีที่แบ่งเป็น ๑๒ ส่วน    มากที่สุดก็แค่ ตฤมศางศ์ ได้แก่ ราศีที่แบ่งเป็น ๓๐ ส่วน    มันต้องแบ่งราศีถึง ๑๕๐ ส่วน  ถึงจะเรียกว่า เล่นโหราศาสตร์ได้ถึงขั้นละเอียดจริง ๆ

เขาค้านเลยว่า  จะแบ่งเข้าไปได้ยังไง  ตั้ง  ๑๕๐  ส่วน
ผมจึงเย้าว่า  นี่แสดงว่า รู้โหราศาสตร์ภารตะไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ  เพราะแบ่งราศีได้แค่ ๓๐

ด้วยศักดิ์ศรีที่ท่านผู้นี้ถึงขั้นเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาโหราศาสตร์ที่สมาคม ฯ นี้มาแล้ว   ผมจึงไม่อยากมีบาปที่ไปทำให้ท่านเกิดอารมณ์ค้าง  เพราะความขุ่นใจที่เข้าใจว่า ผมพูดส่งเดชเรื่องโหรภารตะเขามีหลักเกณฑ์แบ่งราศีออกถึง  ๑๕๐  ส่วน

จึงขอคัดคำอธิบายจากตำราเล่มหนึ่ง  ซึ่งรจนาโดยโหรภารตะ  ซึ่งมีชื่อเสียงรู้จักกันทั่วโลกท่านหนึ่ง   มาให้ทราบกัน  เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจอื่น ๆ ด้วย
 
Each sign or Rasi is divided into 150 parts so that each part comes under the name of a Nadi Amsa   measuring 12 minutes of arc.   This minutes division sets the seeds of the destiny of an individual.  If the correct Nadi Amsa is established, then there is a bird’s eye view of the past and future of the person concerned.
 
แปลเป็นใจความว่า
 
แต่ละราศี เมื่อแบ่งออกเป็น ๑๕๐ ส่วนแล้ว    ส่วนหนึ่งๆจะมี ๑๒ ลิปดา เรียกว่า  Nadi Amsa    ส่วนที่แบ่งลิปดานี้ เท่ากับ เป็นเมล็ดพรรณพืชแห่งโชคเคราะห์ของแต่ละคน   ซึ่งถ้าแบ่ง   Nadi Amsa ถูกต้องแล้ว   จะทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งอดีตและอนาคตของเจ้าของชะตาได้อย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียว
 
ขอเรียนให้ทราบเพื่อกันความเข้าใจผิดว่า   ที่ผมพยากรณ์ดวงชะตาของใครถูกต้องได้รับคำชมบ้างนั้นเพราะผมใช้หลักเกณฑ์ของโหรภารตะข้อนี้  ไม่ใช่น่ะครับ  ผมเพียงแต่รู้หลักเกณฑ์ข้อนี้เพราะได้อ่าน แต่ไม่เคยนำมาใช้เลย เพราะพิสูจน์แล้วพบว่า ถึงจะละเอียดขนาดนี้ ก็ยังใช้ไม่ได้ผลเท่าดวงอีแปะของไทยอยู่ดี
 
***บรรยายที่สมาคมโหรฯ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔***

ที่มา : https://sunwasa.wordpress.com/





#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตยเองโดยคุณยายกลิ่นโสม
#www.baankhunyai.com
===========

ดูดวงติดต่อ Line  : baankunyai
                                                
Visitors: 172,820