ตำนานของพระราหู (๘)


      

          ตำนานพระราหู


อันว่าชีวประวัติของพระราหูนั้น ผมได้กล่าวไว้บ้างแล้วในเรื่องพระจันทร์ ตอนนั้นน่ะผมได้คัดความมหึมาของรูปทรงของพระราหูตามที่พรรณาไว้ในไตรภูมิพระร่วงด้วยนะครับ ใหญ่โตพิลึกเหลือรับละ เพราะเรื่องเกี่ยวพันกับพระจันทร์ด้วยนี่ครับ

ด้วยเหตุฉะนี้แล เรื่องราวของพระราหูในตอนนี้ผมก็ต้องจ้อได้ไม่มากนักหรอก ทั้งๆ ที่มีหนังสือกางอยู่บนโต๊ะกว่า ๓๐ เล่มก็เถอะ แต่นั่นแหละ ผมก็จะขอเอาเรื่องควรรู้ที่เกี่ยวกันกับเรื่องชุดนี้แทรกไว้อีกนั่นแหละ เพราะผมทราบว่ามีนักเรียน และครูภาษาไทยอ่าน ต่วย’ตูนพิเศษ กันแยะครับ คงจะได้อะไรๆ เป็นทำนอง “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” บ้างหรอกนา ข้อสำคัญที่สุดถ้าผมเขียนสั้นจุ๊ดจู๋คนที่จะด่าผมก็คือ บกง นั่นแหละ แกจะฝ่าผมเอาเปรียบครับ โปรดเห็นใจบ้างนะ


ราหูเป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่ง ก็คือโลกที่เราอาศัยอยู่นี่แหละ ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ (เพราะทางพราหมณ์ได้ว่าถึงเรื่องความใหญ่โตไว้ในตอนพระจันทร์แล้ว) โลกเรานี้มีอายุนานมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓,๕๐๐ ล้านปี มีเส้นผ่าศูนย์กลางโดยเฉลี่ย ๗,๙๑๘ ไมล์ เส้นรอบวงตามศูนย์สูตรยาวประมาณ ๒๔,๙๐๐ ไมล์ หมุนรอบตัวเองจากตะวันตกไปทางตะวันออกครบ ๑ รอบกินเวลา ๒๓ ช.ม. ๕๖ นาที ๔ วินาที หรือ ๑ วัน จึงทำให้คนบนโลกเห็นดวงดาวและดวงอาทิตย์เคลื่อนที่จากตะวันออกไปตะวันตก โลกมีแกนเอียงกับทางโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นมุม ๒๓ ๑/๒ องศา และโคจรรอบดวงอาทิตย์ ๑ รอบในเวลาประมาณ ๓๖๕ วัน หรือ ๑ ปี ซึ่งมีผลทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ ๙๓ ล้านไมล์ นี่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบันครับผม

ในทางศาสนาพราหมณ์น่ะ ถือว่าพระราหูเป็นบุตรของ ท้าวเวปจิตติ กับนางสิงหิกา แต่ในหนังสือพระเป็นเจ้าของพราหมณ์พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ว่าพระราหูเป็นโอรสของ พระพฤหัสบดี กับ นางสิงหิกา ส่วนทางโหราศาสตร์ว่าด้วยตำนานดาวนพเคราะห์ว่า พระอิพระอิศวรเป็นเจ้าได้สร้างพระราหูขึ้นโดยใช้หัวผีโขมด ๑๒ หัว มาป่นแล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต ฉับพลันก็บังเกิดเป็นพระราหู ยังมีต่างออกไปอีกครับ ก็ในหนังสือเฉลิมไตรภพนั่นแหละ ผมก็กล่าวไว้ในเรื่องพระจันทร์แล้วเหมือนกัน


เพราะความยุ่งๆ สับสนในเรื่องเทวดาแทบทุกองค์ ซึ่งผมก้ได้ให้เหตุผลไปแล้วหลายตอนครับ ผมก็ไม่กล่าวอีกละ แต่ขอเสริมอีกนิดว่า นักศาสนาเช่นคุณหลวงวิจิตรวาทการท่านเขียนไว้ในหนังสือศาสนาสากลว่า ลัทธิศาสนาพราหมณ์สับสนนัก เมื่อกลายมาเป็นศาสนาฮินดู และเกิดพระอิศวรในศาสนานี้ และมีหน้าที่เป็นผู้สร้าง ทางฮินดูก็กวาดล้างกำเนิดเก่าของเทพเจ้ามากมายหลายองค์เอามาให้พระอิศวรสร้างใหม่หมด และวิธีสร้างก็แปลกจากที่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะดาวนพเคราะห์นั่นแหละ ผมก็รวมมากล่าวเลย

เอานางฟ้า ๑๕ นาง มาเสกป่นให้ละเอียดแล้วสร้างขึ้นเป็นพระจันทร์
เอากระบือ ๘ ตัว มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระอังคาร
เอาช้าง ๑๘ เชือก มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระพุธ
เอาฤาษี ๑๙ ตน มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระพฤหัสบดี
เอาโค ๒๑ ตัว มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระศุกร์
เอาเสือโคร่ง ๑๐ ตัว มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระเสาร์
เอาหัวผีโขมด ๑๒ หัว มาเสกป่นแล้วสร้างเป็นพระราหู

ก็นับว่าดีเหมือนกันครับ เพราะตัดปัญหาเรื่องพ่อเรื่องแม่ของเทวดาต่างๆ ได้ดี เพราะเรื่องนี้สับสนพิลึก

     

       เรื่องพระราหูหัวขาดครึ่งท่อนน่ะ ได้เล่าละเอียดแล้วในเรื่องพระจันทร์อีกนั่นแหละ แต่จะเล่าให้ย่อที่สุดอีกที จะได้เทียบกับเรื่องอื่นด้วย เรื่องนี้อยู่ในนารายณ์สิบปาง ปางกูรมาวตาร คือเป็นเต่า ตอนนี้มีการกวนน้ำอมฤตกัน พระราหูได้แปลงตัวให้สวยเป็นเทวดาไปดื่มด้วย พระอาทิตย์พระจันทร์ไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ก็เอาจักรขว้างตัดราหูขาดครึ่งท่อน แต่ราหูไม่ตายหรอกเพราะได้ดื่มน้ำอย่างว่าแล้วนี่ เกร็ดย่อยก็ว่า ท่อนหัวเป็นพระราหู ท่อนล่างเป็นพระเกตุ พระเกตุก็เลยเป็นดาวพระเคราะห์ดวงที่ ๙ พอดี และพระเกตุนี่แหละครับ มีลูกเป็นดาวหาง และผุ่งไต้ละ เรื่องนี้ราหูแค้นพระอาทิตย์พระจันทร์มาก เจอกันที่ไหนเป็นได้อมกันเล่นไงล่ะ

       มีต่างออกไปอีก อย่างในหนังสือเฉลิมไตรภพเล่าว่า พระอิศวรสร้างพระราหูแล้ว ราหูก็ชักจะกำเริบ คิดว่าตัวของตนออกจะมหึมา มหึมาจริงๆ ครับ ลองย้อนไปอ่านเรื่องพระจันทร์เถอะ แต่ถึงจะโตก็มีฤทธิ์น้อยจัง ไม่เหมือนพระอิศวร พระราหูเห็นอ่างเก็บน้ำท้ายปราสาทพระอิศวร เพื่อนเดาเอาว่าต้องเป็นของศักดิ์สิทธิ์แน่ จึงลอบไปอาบกิน พระอิศวรรู้ด้วยญาณว่าพระราหูล่อน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว พระอิศวรกริ้วเอาจักรขว้างไป พระราหูก็ขาดสองท่อน แต่ก็ไม่ตายหรอก อย่าเป็นห่วงเลย

       ก็มีอีกกระแสอีกนั่นแหละ สมัยก่อนโน้น พระเสาร์ไปถือกำเนิดเป็นพระยานาค รักษาเขาสัตนาปริพันธ์ พระพฤหัสบดีถือกำเนิดเป็นพระอินทร์ รักษาเขาพระสุเมรุ ตอนแรกรักกันดีหรอก ต่อมามิตรสัมพันธ์แตกร้าว แล้วก็มีพระยาครุฑเข้ามาเกี่ยวเข้าอีกอยู่ดีๆ ก็อยากกินพระยานาค พระยานาคหนีไปบอกพระราหูให้ช่วย เกิดรบกันระหว่างพระราหูกับครุฑ ครุฑแพ้ ที่จริงก็แสดงว่าพระราหูมีฤทธิ์ไม่ใช่เล่น ครุฑเก่งนะครับ ผมได้เล่าความเก่งของครุฑไว้ในเรื่องพระนารายณืแล้ว แต่ไหงถึงแพ้พระราหูได้ก็ไม่รู้ ครุฑหนีไปหาพระอินทร์ พระราหูก็ตามไป ระหว่างทางพระราหูเหนื่อยหิวน้ำ เลยแวะดื่มน้ำอมฤต พระอินทร์ก็กริ้วนะซี เอาจักรเพชรขว้างไปทำให้พระราหูขาดสองท่อนอีก

ทั้งสามเรื่องที่ทำให้พระราหูขาด ๒ ท่อนนั้น ก็เป็นอันว่าผู้ลงโทษต่างกันไปเป็นพระนารายณ์บ้าง พระอิศวรบ้าง พระอินทร์บ้าง เรื่องจึงยุ่งเหลือเกินละ

      คำว่า “ราหู” ในหนังสือชุมนุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหลวงสารานุประพันธ์ แปลว่า “ผู้จับ” ครับ ก็คงจะมีนัยว่าจับพระอาทิตย์พระจันทร์นั่นเอง ส่วนตอนเกิดมาทีแรกน่ะ มีหางเป็นนาค มีที่อยู่ในอากาส วิมานสีนิล มีครุฑเป็นพาหนะ แต่บางแห่งว่ามีสิงห์เป็นพาหนะ สิงห์น่าจะถูกกว่า ส่วนภาพที่เขียนก็เขียนกันเป็น ๒ แบบ อย่างหนึ่งหน้าเป็นยักษ์ มีหางนาคนั่งเหนือเมฆหมอก สีกายเป็นสีทองสัมฤทธิ์ มีทองเป็นเครื่องประดับ มี ๒ มือ อีกอย่างหนึ่งเขียนเป็นรูปยักษ์ แต่มีเฉพาะหัว สีทองสัมฤทธิ์ แต่ที่เป็นสีเขียวก็มี และมักจะเป็นรูปที่กำลังอมพระอาทิตย์ หรือไม่ก็พระจันทร์อยู่

ทีนี้ผมก็ขอแทรกเรื่องอื่นละครับ ก็เรื่องปุราณะนั่นแหละ เพราะคำนี้ผมเอ่ยถึงในชุดเทวดานุกรมบ่อยจัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงอธิบายไว้ในอภิธานท้ายเรื่องศกุนตลาไว้ดังนี้

       “ปุราณะ แปลว่า เก่า เป็นนามใช้เรียกหนังสือจำพวกหนึ่งซึ่งมีพราหมณ์เก็บรวบรวมแต่งขึ้นภายหลังยุคหนังสือจำพวกที่เรียกว่าอิติหาส (เช่นเรื่องรามายณะและมหาภารตะเป็นต้น) หนังสือตำรับต่างๆ ของพราหมณ์แบ่งได้เป็น ๓ ยุค เรียกนามตามลักษณะแห่งหนังสือ คือ

        ๑. ยุคไตรเพท  เป็นยุคที่แต่งตำรับที่ออกนามว่าพระเวทพร้อมด้วยตำรับอื่นๆ อันเป็นบริวาร มีข้อความอันกล่าวด้วยการบูชายัญ สรรเสริญพระเป็นเจ้าโดยวิธีอย่างเก่าที่สุด ไม่ใคร่จะมีเรื่องราวเล่าเป็นอย่างนิยายหรือประวัติพิสดาร เพราะในสมัยนั้นยังมิได้มีเวลาคิดประดิษฐ์ประดอยเรื่องราวมากปานใด

        ๒. ยุคอิติหาส  เป็นยุคที่เกิดมีวีรบุรุษ (คือคนเก่งในสงครามเป็นต้นตรงกับศัพท์ภาอังกฤษว่า เฮียโร=Hero นั้น) ขึ้นแล้ว จึงมีผู้คิดรวบรวมเรื่องราวอันเป็นตำนาน เนื่องด้วยวีรบุรุษเหล่านี้ขึ้นรจนาเป็นกาพย์ให้จำง่ายแล้ว และสอนให้ศิษย์สาธยายในกาลอันควรแล้วก็จำกันต่อๆ มา เรื่องชนิดนี้มีรามายณะและมหาภารตะเป็นอาทิ แต่ก็ยังมิได้มีผู้ใดจดลงเป็นลายลักษณ์อักษร จนต่อมาภายหลังอีกหลายๆ ร้อยปีจึงได้มีจดลงเป็นหนังสือ เพราะฉะนั้นหนังสืออิติหาสเหล่านี้จึงมักมีข้อผนวกหรือแก้ไขเกินไปกว่าเรื่องเดิม เช่นนับถือพระรามและพระฤกษณ์ ในส่วนที่เป็นวีรบุรุษก่อนแล้วจึงเกณฑ์ให้เป็นพระนารายณ์อวตารต่อไปทีเดียว และโดยเหตุที่จะต้องหาพยานหลักฐานประกอบให้จงได้จึงต้องประดิษฐ์ข้อความเพิ่มเติมขึ้นอย่างพิสดาร เช่นในเรื่องรามายณะเพิ่มเสริมต่อลงไปในต้นเรื่องเองก็มากแล้ว แต่ยังเห็นไม่ใคร่ละเอียดพอจึงถึงแก่ต้องมีแถมอีกทั้งกัณฑ์เรียกว่า “อุตตรกาณฑ์” ฉะนี้เป็นตัวอย่าง แต่ถึงอย่างไรวีรบุรุษเหล่านี้ยังคงเป็นมนุษย์อยู่

       ๓. ยุคปุราณะ  เมื่อยกยอวีรบุรุษต่างๆ มากขึ้นทุกที หนุนๆ กันจนขึ้นไปถึงยอดแล้ว ก็ต้องเลยกลายเป็นเทวดากันเท่านั้นเอง จึงเกิดมีตำรับชุดปุราณะขึ้นสำหรับเป็นพยานหลักฐานว่า ท่านพระเป็นเจ้าและเทวดาองค์นั้นๆ ได้ทรงอภินิหารอย่างนั้นๆ และเสด็จลงมาเอื้อแก่มนุษย์โดยอวตารหรือแบ่งภาคเป็นอย่างนั้นๆ ยิ่งแต่งก็ยิ่งเพลินเหลิงเจิ้งสนุกมากขึ้นทุกที และลักษณะสั่งสอนวิธีเล่าเป็นนินทานห่อธรรม ก็เป็นวิธีที่พวกอาจารย์สังเกตเห็นอยู่ว่าเป็นที่พอใจผู้ศึกษาเป็นผลอันดีทำให้จดจำคำสอนไว้ได้ดีขึ้น (ถึงแม้ข้างฝ่ายท่านผู้เป็นอาจารย์สอนฝ่ายพุทธศาสน์ของเราก็ต้องใช้วิธีเช่นนั้นเหมือนกัน) ข้างฝ่ายไสยศาสตร์จึงเกิดตำรับตำราพวกที่เรียกว่าปุราณะ คืออ้างว่ารวบรวมเรื่องเก่าๆ มาตกแต่งขึ้นไว้เพื่อให้เป็นหลักฐาน (ข้างฝ่ายพุทธศาสน์ก็มีหนังสือคล้ายๆ ปุราณะอยู่มากเหมือนกัน) และหนังสือตำรับเหล่านี้เป็นที่ถูกใจผู้ศึกษามากก็จำกันได้มากจนมาในที่สุด ทั้งพราหมณ์และชนสามัญที่ถือไสยศาสตร์มีเป็นจำนวนน้อยที่รู้จักไตรเพทอันแท้จริง โดยมากถือเอาชุดปุราณะเป็นตำรับสำคัญของลัทธิไสยศาสตร์ทีเดียว ความรู้ในทางไสยศาสตร์ทีได้เคยมีมาในประเทศสยามนี้ จึงเป็นไปตามข้อความในปุราณะเป็นพื้น และโดยมากพูดถึงพระเวทหรือไตรเพทก็พูดกันพล่อยๆ ไปอย่างนั้นเอง จะได้มีความรู้ลึกซึ้งไปถึงพระเวทจริงนั้นหามิได้”

       นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมคัดจากอภิธานเรื่องศกุนตลานะครับ ยังมีอธิบายเรื่องนี้อีกมากครับ และยังมีอธิบายในหนังสือ พระศุนหเศป ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ อีก ใครที่ต้องการหาความรู้ก็หาอ่านเอาเองเถอะครับ  ก็เป็นอันจบเรื่องของพระราหูตรงนี้ละ


ที่มา:รองศาสตราจารย์ประจักษ์  ประภาพิทยากร
https://www.silpathai.net/ชีวประวัติพระราหู 







#โหราศาสตร์ไทยเรียนด้วยตนเองฉบับคุณยายกลิ่นโสม  #www.baankhunyai.com
​​​​​​​#เรียนดูดวงไทยฟรีที่เวปบ้านคุณยายกลิ่นโสม   #บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#ดาวบอกวิถี #อ่านดวงอิงดาว #รู้ดาวอ่านดวง#ดวงคือแผนที่ชีวิต
#อ่านดวงไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#คุณยายกลิ่นโสม 102100

Visitors: 171,424