ตำนานของพระจันทร์(๒)

      
                
                  ตำนานของพระจันทร์(๒)

     
     “ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นต้นอโศกที่ไหนใหญ่โตงามเหมือนกับที่อยู่บนลานนั้น ใบซึ่งคอยสั่นไหวอยู่เสมอ เห็นเป็นเลื่อมพรายเงินเมื่อต้องแสงจันทร์ เมื่อลมโชยมาก็มีเสียงปานว่าหนุ่มสาวกระซิบกัน” (กามนิต)

ฮันนั่นแน่  ผมขึ้นไตเติ้ลได้เซ็กซี่สมกับเรื่องพระจันทร์ เอาให้หนักแน่นอีกก็ได้ครับ กวีชายสีแห่งอินเดียได้ประพันธ์โศลกเป็นภาษาฮินดีไว้ตอนหนึ่งว่า

      คห ทมฺเช อนฺเทเศ มาเห ชนี
      คห พ ผลกฺ ทีนิโอ อาเห ชนี


     “บางครั้งเจ้าก็นั่งมองดูหญิงยอดพิศวาสของเจ้า ผู้มีใบหน้าเปรียบดังดวงจันทร์ แล้วก็แหงนหน้ามองดูดวงจันทร์ พลางถอนใจใหญ่”  
แต่อย่าผิดหวังนะครับ ถึงแม้ผมจะขึ้นต้นหวานซึ้งยังงี้ก็เถอะ ตามคติของอินเดีย พระจันทร์เป็นเทวดาผู้ชายครับ ไม่ใช่เพศหญิงหรอกน่า

     พระจันทร์เป็นโอรสของพระอัตริมุนี กับพระนางอนสูยา และพระจันทร์นี่เจ้าชู้ไม่ใช่เล่น มีชายาถึง ๒๗ องค์แน่ะ และชื่อชายาพระจันทร์ล้วนเป็นชื่อดาวนักษัตรทั้งสิ้น คือ อัสสยุชะ ภรณี กัตติกา โรหิณี มิคสิระ อัททา ปนัพพสุ ผุสสะ อลิเลสะ มหะ ปุพพผัคคุณี อุตตรผัคคุณี หัตถุ จิตตะ สาติ วิสาขะ อนุราฮะ เชกฐะ มูละ ปุพพาสาฬหะ อุตตราสาฬหะ สาวณะ ธนิฏฐะ สตภิสชะ ปุพพภัททปทะ อุตตรภัททปทะ และเรวดี

     บรรดาชายาทั้ง ๒๗ องค์ของพระจันทร์ล้วนเป็นพระธิดาของพระทักษาทั้งสิ้น ว่าถึงพระทักษะนี้ก็แปลก มีลูกผู้หญิงมากจังเลย คือมีถึง ๕๒ องค์ แล้วก็คงสวยๆ ทั้งนั้น เทพเจ้าองค์ใหญ่ๆ ต่างก้ได้ธิดาพระทักษา อย่างพระอิศวรนั่นก็เถอะก่อนที่จะได้พระอุมานั้น เคยได้กับพระสตีมาหนหนึ่งแล้ว และพระสตีนี่แหละเป็นธิดาพระทักษะเหมือนกัน


     เรื่องกำเนิดพระจันทร์มีเล่ากันต่างๆ ตามธรรมเนียมศาสนาพราหมณ์ละครับ ในนารายณ์สิบปาง ปางกูรมาวตาร พระจันทร์นั้นเกิดจากการกวนน้ำอมฤต สาเหตุแห่งการกวนน้ำอย่างว่านั้น เป็นเพราะพระอินทร์ถูกฤษีทุรวาสสาป ฤทธิ์อำนาจจึงถอยลงจึงต้องจัดพิธีกวนเกษียรสมุทรตามคำแนะนำของพระนารายณ์ โดยเริ่มจากผูกมิตรกับยักษ์ก่อนแล้วช่วยกันเก็บตัวยาจากที่ต่างๆ โยนลงในทะเลน้ำนม เอาภูเขามันทรเป็นที่กวน เอาพญานาคพัน ให้ยักษ์ดึงหัวนาค เทวดาดังหางนาค จนในที่สุดเกิดสิ่งต่างๆ มากมายครับ ที่สำคัญๆ ก็มี
     ๑. โค ชื่อว่าสุรภี เป็นโคสารพัดนึก นึกอะไรก็ได้
     ๒. สุรา ชื่อว่าวารุณี เป็นเทพีแห่งเหล้า
     ๓. ปาริชาติ เป็นไม้วิเศษ พระอินทร์เอาไปปลูกไว้ในสวนนันทวัน เป็นต้นไม้ที่ใครดมแล้วทำให้ระลึกชาติได้ และถ้าใครเอามาประดับผมก็จะเป็นเสน่ห์
     ๔. อัปสร  นางฟ้า ไม่มีเทวดาองค์ใดรับไปโดยเฉพาะเลยเป็นนางที่บรรดาเทวดาใช้ฝีปากเกี้ยวเล่น
     ๕. ดวงจันทร์ พระอิศวรเอาไปทำปิ่นปักผม แต่เรื่องนี้ก็ยุ่งๆ อีก…เดี๋ยวจะเล่าต่อไป
     ๖. พิษ ฝูงนาคสูบเอาไว้ นาคเป็นบรรพบุรุษของงู งูจึงมีพิษอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะ
     ๗. พระลักษมี สวยงามมากครับ พระนารายณ์เลยเอาไปเป็นมเหสีตามระเบียบ
     ๘. ธันวันตี ทูนผอบน้ำอมฤต ซึ่งเป็นยอดปรารถนาที่ตั้งใจกันกวนนั่นละ


นารายณ์ปางนี้ ดูๆ ไปก็เห็นว่าเทวดาขี้โกงชะมัด หลอกยักษ์ทั้งเรื่อง เช่น ให้ยักษ์ดึงหัวนาค นาคเจ็บคายพิษใส่ยักษ์ พอได้น้ำอมฤตมา ก็ไม่ได้ดื่มอีก ซึ่งจะเล่าต่อไป

มีตำนานนพเคราะห์ทางโหราศาสตร์กล่าวว่า พระอิศวรได้สร้างพระจันทร์ขึ้นโดยใช้นางฟ้า ๑๕ นางร่ายพระเวทให้นางฟ้านั้นละเอียดลง แล้วห่อด้วยผ้าสีนวล ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเทพบุตรขึ้น มีนามกรว่าพระจันทร์

ทางฝ่ายจีน (ขออนุญาตแทรกชาติอื่นบ้างเถอะ จะได้เปรียบเทียบกันว่าใครจะมีความคิดลึกล้ำอย่างไร) มีเรื่องเล่าว่าปันกู๋ซึ่งเป็นมนุษย์ ได้เป็นผู้เอาสิ่งสลักก้อนหินให้เป็นรูปต่างๆ โขดหินที่ปันกู๋สลักนั้นกลายเป็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวต่างๆ


ส่วนคัมภีร์ศาสนาคริสต์เล่าว่า พระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้น ในวันแรกสร้างวัน วันที่สองสร้างฟ้าอากาศ วันที่สามสร้างแผ่นดินและพืชพันธุ์ ธัญญาหาร วันที่ ๔ สร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์ วันที่ ๕ สร้างนก สร้างปลา วันที่ ๖ สร้างมนุษย์คนแรก วันที่ ๗ หยุดพัก

พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนพื้นอากาศ เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้ดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศ เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน” และอีกตอน “พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆ ด้วย พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนฟ้าอากาศ ให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน ให้ครองวันและคืน และให้แยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็น เวลาเช้า คือวันที่”

ส่วนลัทธิชินโตของญี่ปุ่นว่า เทพบุตร อิสานะยิ โนมิกิโตะ ได้สร้างพระจันทร์ขึ้นด้วยวิธีเอาน้ำล้างพระบาทเบื้องขวา เป็นผลให้เกิดเทพธิดาองค์หนึ่งมีนามว่า ซูกิโยมิโนโกโตะ ซึ่งก็คือเจ้าแม่ดวงจันทร์ ญี่ปุ่นถือว่าพระจันทร์เป็นเพศหญิงนะครับ ของกรีกก็ว่าเป็นเพศหญิง โดยเล่าว่า เทพซิวส์ (zeus) บางท่านอ่านออกเสียง ซุส ซึ่งเป็นเทพสูงสุด ได้มีอนุภรรยาชื่อว่า ลาโตนา นางฮีรา มเหสีเอกหึง เลยขับไล่เธอไป นางลาโตนาได้ไปคลอดบุตรที่เกาะดีโลส บุตรที่คลอดเป็นฝาแฝด คือพระอาทิตย์กับพระจันทร์ พระอาทิตย์เป็นเทพบุตร พระจันทร์เป็นเทพธิดา

เรื่องพระจันทร์มีข้างขึ้นข้างแรมนี่ ทางฮินดูมีตำนานเล่าว่า พระจันทร์ก็เหมือนคนเรา คือมีความลำเอียง บรรดาชายาของพระจันทร์ทั้งหลายนั้น พระจันทร์รักนางโรหิณีมากที่สุด ชายาอีกเยอะก็ย่อมหึงเป็นเหมือนกัน เข้าทำนอง “อันโศกอื่นหมื่นแสนในแดนโลก มันไม่โศกลึกซึ้งเหมือนหึงผัว ถึงเสียทองของรักสักเท่าตัว ค่อยยังชั่วไม่เสียดายเท่าชายเชือน” จึงเดินขบวนไปฟ้องพ่อคือพระทักษะ พระทักษะกริ้วลูกเขย เลยสาปให้พระจันทร์เป็นฝีในท้อง (ก็วัณโรคนั่นแหละ) พระจันทร์ก็เลยผอมลงๆ ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ชายาทั้งหลายก็ใจอ่อนสิครับ เลยไปขอร้องพ่อให้ถอนคำสาป พระทักษาว่าผิดเหลี่ยมเทวดา เอาเถอะผ่อนผันให้ คือให้มีอ้วนผอมสลับกัน หมายความว่าบางวันก็มีเรี่ยว บางวันก็ไม่มีแรง พวกชาวโลกก็เห็นพระจันทร์มีกลม มีเสี้ยวเป็นข้างขึ้นข้างแรมนั่นแหละครับ

แต่นั่นแหละ อีกคัมภีร์ปุราณะหนึ่ง เล่าเรื่องนี้ต่างออกไป คือเกี่ยวกับพระคเณศที่เล่าไว้แล้ว ตอนพระคเณศเสวยขนมต้มเป็นเหตุให้ท้องแตก แล้วจับขนมต้มยัดใส่พุงนั้น พระจันทร์เห็นการกระทำนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ พระคเณสโกรธ เอางาขว้างไปติดพระจันทร์แน่น ก็เลยเกิดความมืดแก่โลก พระอินทร์และเทวดาจอมวุ่นก็ไปขอโทษให้ พระคเณศจึงยอมถอนงาออก แต่ก็ต้องรับโทษแหว่งไป ตลอดทุกครึ่งเดือน ก็ข้างแรมนั่นแหละครับ

มีอีกเรื่องหนึ่ง แปลกแฮะ ถึงแม้จะถือว่าพระจันทร์เป็นของสวยของงามแต่ของพราหมณ์ห้ามดูพระจันทร์ในวันที่เรียกว่า คเณศจตุรถี หรือเรียกว่า วินายกจตุรถี ตกวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นวันที่บูชาพระคเณศ วันนี้ห้ามชาวอินเดียมองพระจันทร์ ถ้าใครมองจะได้รับความซวย และต้องแก้ความซวยด้วยการด่าพ่อด่าแม่ผู้อื่นเล่นให้สำราญความซวยก็จะกลายเป็นความเฮงซวย ก็เรื่องนี้แหละ กล่าวว่าพระจันทร์พลอยถูกพระคเณศลงโทษด้วย เลยกลายเป็นแหว่งเป็นเสี้ยวอย่างข้างต้นที่เล่าแล้ว

มีเกร็ดๆ น่ารู้อีกเรื่องครับ คือพระจันทร์ทำพิธีราชสูยะแล้ว ทำให้มีฤทธิ์เก่งขึ้นอีก ทีนี้ก็กำเริบไปลักพานางดาราผู้เป็นพระมเหสีพระพฤหัสบดี พระพฤหัสบดีเป็นดาวครูใจดีไปขอด้วยสันติวิธีก็ไม่ยอมคืน พระพรหมไปช่วยตักเตือนพระจันทร์ก็มิเชื่ออีก ตอนนี้สิครับถึงได้เกิดรบกันขึ้น พระศุกร์นั้นไม่ชอบกับพระพฤหัสบดีอยู่แล้ว คือแตกแยกเป็นพรรคเป็นหมู่อย่างมนุษย์เราๆ ละ พระศุกร์ก็เข้าข้างพระจันทร์ บรรดาพวกทานพ แทตย์ อสูร ซึ่งเป็นศิษย์ของพระศุกร์ ก็เข้าข้างพระจันทร์ พระอินทร์และเทวดาอื่นๆ เข้าข้างพระพฤหัสบดี สงครามเทวดาครั้งนั้นสะเทือนไปทั้งไตรภพ พระอิศวรต้องไปช่วยพระพฤหัสบดี พระอิศวรเอาตรีฟันพระจันทร์ ในที่สุดแห่งเรื่องพระพรหมได้ไปห้ามทัพ และบังคับให้พระจันทร์ส่งนางดาราคืนให้พระพฤหัสบดี แต่ว่าตอนนี้นางดารามีครรภ์กับพระจันทร์บ้างแล้วละ ต่อมาก็เกิดกุมารมีนามว่าพระพุธ ส่วนพระจันทร์ก็เกิดความว้าเหว่เอ้กา จึงไปอ้อนวอนพระอิศาวร พระอิศวรสงสารเอาพระจันทร์มาเป็นปิ่นปักผม (เห็นไหมครับ ผิดกับตอนกวนน้ำอมฤตที่เล่าไว้แล้ว) เข้าไปในหมู่สังคมเทวดา พระอิศวรจึงได้นามว่า จันทรเศขร แปลว่าทัดพระจันทร์เป็นปิ่น ส่วนพระจันทร์ได้นามกรว่า ศิวเศขร แปลว่าเป็นปิ่นพระศิวะ

นามกรของพระจันทร์นั้นมีมากละครับ เป็นต้นว่าศศิ (ลายเหมือนกระต่าย) ศศิธร (ทรงไว้ซึ่งรูปกระต่าย) นิศากร รัชนิกร รัชนิกฤต (ผู้สร้างกลางคืน) นักษัตรนาถ (เป็นใหญ่ในนักษัตร) ศีตนารีจ (มีแสงเย็น) สิตางศุ (มีสีขาว) มฤคางกะ (ลายเหมือนกวาง) กุมุทบดี (เป็นใหญ่ในดอกบัว) เศวตวาชี (มีม้าขาว)

ตำนานเกี่ยวกับเกิดจันทรคราสสุริยคราสก็น่ารู้ครับ ที่เราเรียกว่าราหูอมจันทร์นั่นแล ผมคัดจากไตรภูมิพระร่วงให้ขลังเล่นดีกว่านะครับ

“เมืองอุตรกุรุทวีป พระอสูรสองตนๆ หนึ่งชื่อพรหมทัต ตนหนึ่งชื่อราหู เป็นพระญาแก่หมู่อสูรทั้งหลายอันอยู่ในเมืองอุตรกุรุทวีปนั้นแล พระญาอสูรผู้ชื่อว่าราหูนั้นมีอำนาจและมีกำลังกล้าหาญกว่าพระญาอสูรทั้งหลายในสวรรค์ โดยสูงได้ ๙๘,๐๐๐ โยชน์ แลอ้อมรอบหัวโดยใหญ่ ๘๐๐ โยชน์ แลหัวเขากว้างได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ แต่ข้างแลข้างได้ ๒,๖๐๐ โยชน์ แลอ้อมรอบหัวโดยใหญ่ ๓๐๐ โยชน์ แลจมูกโดยยาวได้ ๓๐๐ โยชน์ แต่หว่างคิ้วก็ดีหว่างตาก็ดี ได้ ๙๐ โยชน์ แต่หัวคิ้วมาถึงหางคิ้วได้ ๒๐๐ โยชน์ แต่ปากโดยกว้างได้ ๒๐๐ โยชน์ โดยลึกได้ ๓๐๐ โยชน์ โดยกว้างฝ่ามือได้ ๒๐๐ โยชน์ ขนตีน ขนมือ ขนนั้นแลยาวได้ ๓ โยชน์ ครั้นเมื่อวันเดือนค้างแลตะวันงามแล ราหูนั้นมีหน้าที่จะมักเห็นพระอาทิตย์ และพระจันทร์อันงามดังนั้น แลมักมีใจหึง มันจึงขึ้นเหนือเขายุคนธรนั้นแล ก็นั่งท่าพระอาทิตย์อันอยู่ในปราสาทอันสถิตย์อยู่ในเกวียนทองพานทองแลประดับที่ท้ายแก้วอันชื่อว่า อินทนิล แลมีรัศมีได้พัน ๑ อันงามนักแล มีม้าสินธพชาติอัน ๑ เข็นเกวียนทองนั้นไปล่องอากาศเลียบรอบขอบพระสิเนรุราชได้ด้วยปลายเขายุคนธร แลพระจันทร์อยู่ในปราสาทอันมีเกวียนมณีรัตน แลมีม้าสินธพชาติ ๕๐๐ เข็นไปล่วงอากาศต่ำกว่าทางพระอาทิตย์นั้น โยชน์หนึ่ง ครั้นไปราหูอยู่นั้น ลางคาบราหูอ้าปากออกเอาพระอาทิตย์ และพระจันทร์จับเข้าไปในปาก ลางคาบเอานิ้วมือบังไว้ ลางคาบเอาไว้ใต้รักแร้ กระทำดังนั้น อันว่ารัศมีพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดีเศร้าหมอง มิงามได้เลย และคนทั้งหลายว่าคราสแล”


ครับ สำนวนไตรภูมิขลังดีจังเลย และเรื่องนี้ทางคติพุทธท่านก็ว่าไว้เหมือนกัน เป็นทำนองว่าพระจันทร์ได้รำลึกถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์มีพุทธบัณฑูรแก่ราหูว่า  “ตถาคตํ อรหนฺตํ จนฺทิมา สรณํ คโต ราหุ     จนุทํ ปมุญฺจสฺสุ พุทธโลกานุกมฺ ปกาติ”


ความว่า ขอให้พระราหูจงปล่อยพระจันทร์ มิฉะนั้นศีรษะจะแตกเป็น ๗ ภาค ทุกวันนี้คาถาดังกล่าวนี้พระสงฆ์ไทยยังใช้สวดเมื่อมีจันทรคราส เรียกว่า สวด “จันทรปริต”

ส่วนสาเหตุที่ต้องเกิดจัทรคราสสุริยคราสนั้นบางคัมภีร์เล่าว่า ก็เรื่องเดียวกับ ตอนกวนน้ำอมฤตที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละครับ นัยว่าตอนที่พระนารายณ์แปลงเป็นผู้หญิงหลอกยักษ์นั้น ราหูเป็นอสูรเหมือนกัน แต่ตะแกออกจะฉลาดไม่ใช่เล่น ได้แปลงเป็นเทวดาเข้าไปดื่มนํ้าอมฤตด้วย พระอาทิตย์กับพระจันทร์ขี้ฟ้องอยู่สักหน่อย ได้ไปฟ้ององค์วิษณุหรือนารายณ์นั่นเอง พระวิษณุก็ขว้างจักรเสี่ยงทายไป โดนราหูขาดครึ่งท่อน แต่เพราะเหตุดื่มน้ำอมฤตแล้วจึงไม่ตาย ราหูจึงโกรธพระอาทิตย์พระจันทร์มาก เห็นที่ไหนเป็นต้องทำให้เกิดคราส โดยการจับมาหนีบใต้รักแกร้ให้ฉุนเล่น หรือไม่ก็อมเล่นอย่างที่เราเห็นภาพราหูครึ่งท่อนอมอาทิตย์หรือจันทร์อยู่นั่นแล

มีนิยายทำนองนี้อยู่ในหนังสือเฉลิมไตรภพ ซึ่งเป็นหนังสือหาอ่านยากมากครับเข้าใจว่าเป็นนิยายพื้นเมืองของเราเอง หนังสือเรื่องนี้แต่งเป็นกาพย์ เป็นสำนวนเก่ามาก จะเล่าเฉพาะเรื่องคราสเท่านั้น คือในอดีตกาลมีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อ หัสวิสัย มีภรรยาชื่อว่าสุนทรา มีบุตร ๓ คน

“บุตรชายสามคน อาทิตย์เป็นต้น ที่สองจันทรา ที่สามราหู เด็กอยู่นักหนา กับญาติกา ทาสาหลายคน”

ต่อมาท่านเศรษฐีตายไป ฝ่ายบุตรทั้งสามได้ทำบุญตักบาตร พระอาทิตย์ใช้ขันทอง พระจันทร์ใช้ขันเงิน และต่างก็อธิษฐานขอให้เกิดเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ พระราหูโกรธมากที่พี่ๆ เอาภาชนะดีๆ ไปใช้ และก็อธิษฐานดีๆ ไว้ทั้งนั้น เลยคว้ากระทายมาเป็นภาชนะตักบาตร และอธิษฐานว่าให้มีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร บดบังรัศมีอาทิตย์จันทร์ได้ และเมื่อตายไป พี่น้องทั้งสามได้เป็นดังที่อธิษฐาน ราหูนั้นยังมีใจเจ็บแค้นอยู่ เมื่อเห็นพระอาทิตย์พระจันทร์เป็นต้องทำให้เกิดคราสให้คนตกใจเล่น

คติชาวบ้านฝรั่งเล่าต่างไป  และไม่เห็นจะสนุกเลย คือเล่ามีสุนัขป่าตัวมหึมาสองตัว คอยไล่จับอาทิตย์และจันทร์ เมื่อทันก็จับอมเล่น เลยเกิดคราส

ส่วนตามคติจีน  ค่อนข้างเซ็กซี่น่ารักครับ มีปรากฎอยู่ในเรื่อง ไคเก็ค อันเป็นพงศาวดารการสร้างโลกของจีนเขา มีเรื่องเล่าว่า พระอาทิตย์นั้นชื่อคัย แซ่ซึง ส่วนพระจันทร์ชื่อบี้  แซ่ถัง เป็นสามีภรรยากัน พระจันทร์ของจีนเป็นเพศหญิงนะครับ สามีภรรยาคู่นี้รักกันมาก ไม่ค่อยยอมจากกันหรอก อ้อ ทั้งคู่เป็นเทวดาเพศชายเพศหญิงนั่นแหละ ไม่ใช่คนอย่างเราๆ หรอก เมื่อไม่ยอมจากก็ไม่ค่อยยอมทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่มนุษย์เรา แต่เกรงบารมีของคุณต่อเป็งชาน้าติอ่องสีฮ่องเต้ จึงต้องจำใจจากกันไปทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่มนุษย์ ก็ทำหน้าที่ต่างเวลากันนี่นาถึงรักกัมากก็ไม่เจอกันหรอก เหมือนผัวเมียทำงานกะเช้ากะกลางคืนในโลกมนุษย์ ทีนี้ถ้าพระอาทิตย์โคจรเร็วหน่อยเจอพระจันทร์เข้า ด้วยความรักก็ต้องจู๋จี๋ฉอเลาะคลอเคลียกันบ้างละ ก็ทำให้เกิดจันทรคราส แต่ถ้าพระจันทร์โคจรเดินเร็วทันพระอาทิตย์ก็ทำให้เกิดสุริยคราส มนุษย์เมืองจีนก็ต้องจุดประทัด ตีม้าฬ่อให้เกิดการตกใจ จากกันไปทำหน้าที่ของตน


ความเชื่อของจีนเล่าอีกแง่หนึ่งว่า พระจันทร์นั้นเป็นผู้หญิง เดิมทีก็เป็นมนุษย์รูปงามนามเพราะ ชื่อนางเสี้ยงหงอ หรือ จังออ เป็นภริยาของเฮาหงี ขุนนางฝ่ายทหารของพระเจ้าเงี้ยมเต้ (ในเรื่องไคเภ็คชื่อว่าเพ่งหงี) ภายหลังนางได้ไปลักเอาน้ำอมฤตของแม่เจ้าไซ้อ่วงบ๊อ เทพมาตาเอามากิน นางจึงไม่ตาย ไม่แก่เฒ่า คงมีความงามอยู่เสมอเลยเหาะไปอยู่บนพระจันทร์ เมื่อถึงฤดูทำนาทุกปี นางก้เอาน้ำอมฤตประพรมลงมาในมนุษย์โลก ต้นข้าวได้น้ำอมฤตก็งอกงาม ออกดอก ออกรวง เป็นผลนำความอุดมสมบูรณ์มาให้ มนุษย์ให้เมืองจีนจึงนำข้าวมาทำเป็นขนมโก๋ แล้วทำพิธีขอบคุณพระจันทร์ เรียกว่า ประเพณีไหว้พระจันทร์ ของจีนละครับ เขาเรียกวันนี้ว่า โป้ยง่วย ตองชิว ตรงกับเพ็ญเดือน ๘ ของเขา เทียบกับเราก็ราวเดือน ๑๐ พิธีนี้ถือกันว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง เพราะต้องการให้สวยเหมือนพระจันทร์ หรือถ้ามีลูกก็ให้สวยเหมือนพระจันทร์ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้กันแล้วว่าดวงจันทร์เป็นหลุมเป็นบ่อ จะอยากให้สวยเหมือนพระจันทร์อยู่อีกหรือเปล่าหนอ

มีเรื่องน่ารู้อีกละครับ  ผมอดแถมไม่ได้สักที ก็ที่เรามองดูพระจันทร์แล้วเห็นเป็นอะไรต่อมิอะไรอยู่ในดวงจันทร์นั่นแหละ ของเรานั้นเป็นเป็นรูปกระต่ายเป็นส่วนมาก แต่ก็เยอะที่เป็นเป็นกวาง เป็นยายตำข้าว เป็นดอกบัว เป็นแม่ชีกำลังกลั่นเหล้า การกลั่นเหล้าทำไมเกณฑ์ให้แม่ชีก็ไม่รู้ นี่ผมว่าต่างภาคก็เห็นผิดกันไปนะครับ

การที่เราเห็นพระจันทร์เป็นรูปกระต่ายนั้น มีนิยายชาดกทำนองคติชาวบ้านเล่าว่า ในอดีตกาลสมัยที่สัตว์พูดได้ ณ ป่าแห่งหนึ่งมีสัตว์ที่เป็นเพื่อนกัน ๔ ตัว คือ กระต่าย ลิง สุนัขจิ้งจอก และนาค สัตว์ทั้ง ๔ นี้ลงคะแนนกันให้กระต่ายเป็นหัวหน้า ครั้นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันใกล้วันอุโบสถ กระต่ายชักชวนเพื่อนบริจาคทานก่อนกินอาหารเช้า ต่างก็เห็นด้วย ครั้นได้วันพระสัตว์ทั้งหลายก็เตรียมอาหารกันเพื่อบริจาคทาน กระต่ายก็ให้รู้สึกวิตก เพราะอาหารของตนเป็นหญ้าแล้วใครเล่าจะรับทานนี้ กระต่ายก็ตั้งปณิธานว่า ถ้าใครต้องการเนื้อของตนก็ยินยอมจะให้เรื่องก็ร้อนถึงพระอินทร์ พระอินทร์ได้แปลงกายเป็นพราหมณ์เที่ยวภิกขาจาร พระอินทร์ผ่านการทดลองน้ำใจสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็มาถึงกระต่ายละ พราหมณ์ก็บอกว่าหญ้าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ต้องการเนื้อว่ะ กระต่ายก็กระโดดเข้ากองไฟทันที แต่ไฟนั้นหาร้อนไม่ พระอินทร์ก็เล่าความจริงให้ฟังพร้อมกับเหาะไปบนท้องฟ้า สกัดแท่งหินนิมิตเป็นรูปกระต่ายไว้ในดวงจันทร์เพื่อเป็นอนุสรณ์ความดีของกระต่าย เราจึงเห็นกระต่ายในวงจันทร์นั่นแหละ กวีไทยถึงได้กล่าวถึงเรื่องกระต่ายในวงจันทร์กันนัก

         “อันเณรน้องเหมือนกระต่ายหมายชมจันทร์     อยู่ดินหรือจะดั้นขึ้นไปได้
         แต่ตรอมตรอมผอมร่างก็บางไป                     ด้วยทางไกลกลางหาวคราวปอง
         ได้องค์อินทร์แลจะสิ้นสำเร็จตรม                  จะได้ชมกระต่ายสวรรค์จันทร์ผยอง
          อินทราอุปมาเหมือนสายทอง                       พิมน้องเหมือนกระต่ายในวงจันทร์”
                                                   (ขุนช้าง-ขุนแผน)

ชาวอินเดียบางแคว้น  เห็นพระจันทร์ไปอีกลักษณะหนึ่ง มีนิยายเล่ากันว่าครั้งหนึ่ง ณ แคว้นแห่งหนึ่งของอินเดีย มีเจ้าหญิงผู้ทรงโฉมงดงามมาก แม้จะมีเจ้าชายแคว้นต่างๆ มาสู่ขอ เจ้าหญิงผู้มีนามกรว่าราหะก็ไม่ยอม ครั้งเสด็จปู่ถามเหตุผลพระนางราหะก็ทูลว่าต้องการชายที่รูปงามเหมือนพระจันทร์ ทั้งๆ ที่เสด็จปู่ก็ทรงรู้ดีว่าจะไปหาที่ไหนเล่า แต่ก็มิบังคับ ฝ่ายเจ้าหญิงราหะก็เฝ้าชมภาพความงามของดวงจันทร์ในบ่อน้ำอยู่เรื่อย คืนหนึ่งมีแสงเฮ้ากวงพวยพุ่งจากบ่อน้ำไปสู่พระจันทร์ และทันใดก็มีชายแคระวิ่งตามแสงนั้นลงมา เจ้าหญิงก็เรียกเสด็จปู่ให้มาดูแต่ท่านก็ทรงชรา หูตามัว หาเห็นอะไรไม่ จนในที่สุดชายแคระมาถึงที่เจ้าหญิงและเสด็จปู่ประทับอยู่ ชายแคระก็บอกว่าเป็นตัวแทนของพระจันทร์ มาเชิญเจ้าหญิงไปแต่งงานด้วย เสด็จปู่ไม่เชื่อ ชายแคระโกรธจึงพาทั้งเจ้าหญิงและเสด็จปู่ไปสู่โลกพระจันทร์ทันที เจ้าหญิงได้แต่งงานกับพระจันทร์สมความปรารถนา ส่วนเสด็จปู่ก็หาความสุขด้วยการทะเลาะกับชายแคระ เมื่อทะเลาะกันแล้วเสด็จปู่ก็จะมีความสุข หัวเราะเบิกบาน แต่ชายแคระไม่ยอมสนุกด้วย เข้าบ้านปิดประตูหมด ด้วยเหตุนี้ละครับ จึงเข้าใจกันว่าที่เดือดมืดนั้นเป็นเพราะชายแคระปิดประตูหมด และเวลาที่พระจันทร์กระจ่าง ชาวอินเดียบางแคว้นเขาจะเห็นพระจันทร์เป็นรูปชายเฒ่ากำลังหัวเราะก๊ากๆ อยู่ยังกะกำลังอ่าน ต่วย’ตูน อยู่งั้นแหละ ชายเฒ่าก็คือ เสด็จปู่ละ

ส่วนอียิปต์ไอยคุปต์นั่น เห็นพระจันทร์เป็นรูปเทพธิดากำลังให้ลูกกินนม ที่เห็นดังนี้ก็มีเทพนิยายสนุกๆ อีกนั่นแหละ เขาถือว่าพระจันทร์เป็นเพศหญิงครับ และเป็นมเหสีของพระอาทิตย์ แต่ว่าพระอาทิตย์ของอียิปต์นี่ประหลาด มีเทพประจำหลายองค์ครับ คือ โฮรุส (Horus) เป็นเทพเจ้าแห่งอาทิตย์อุทัย รา (Ra) เป็นเทพเจ้าแห่งอาทิตย์ทรงกลด โอสิริส (Osiris) เป็นเทพเจ้าแห่งอาทิตย์อัสดง ฮาเตอร์ (Hater) เป็นเทพเจ้าแห่งความสวยงามและองค์นี้เป็นเพศหญิงครับ และถือว่าเป็นเจ้าแม่แห่งศิลปวิทยาการด้วย ส่วนเทพเจ้าแห่งอาทิตย์ที่ครองประเทศอียิปต์นั้น ชื่อ อัมมอน (Ammon)

ครับ เทพเจ้าฮาเตอร์ซึ่งเป็นเทพแห่งอาทิตย์อัสดงนี่แหละ ออกจะสำคัญอยู่ เพราะเป็นเทพเจ้าแห่งความตายด้วยคือมีหน้าที่พิพากษาคนที่ตายว่าจะต้องรับเวรรับกรรม รับบุญรับบาปตกนรกขึ้นสวรรค์กันอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเวลาที่ได้อยู่กับลูกกับเมียสิครับ อ่อ ชายาของพระอาทิตย์องค์นี้มีชื่อว่า อิสิส (Isis) บุตรชายชื่อโอริส (Oris) อิสิสนี้แหละคือพระจันทร์อียิปต์ละ เธอว้าเหว่มาก โดยเฉพาะในเวลาค่ำคืนที่ฮาเตอร์ต้องไปพิพากษาคนตายเธอก็กอดลูกให้กินนม คนอียิปต์จึงเห็นพระจันทร์เป็นรูปอย่างที่ว่าละครับ

ส่วนชาวจีน เห็นพระจันทร์มีรูปต่างๆ กันอยู่เช่นเห็นเป็นชายกำลังตัดฟืนบ้าง เห็นเป็นรูปกระต่ายเหมือนของเราบ้าง และเชื่อหนักเข้าไปอีกว่ากระต่ายบนโลกมีแต่ตัวเมียทั้งนั้น ที่มันมีลูกได้ก็เพราะกระต่ายตัวผู้ในวงจันทร์นั่นแหละ ผสมพันธุ์กันได้อย่างกะปลากัดแน่ะ แต่ก็มีบางพวกเห็นเป็นกบ ก็สืบมาจากนิยายไหว้พระจันทร์อย่างที่เล่าไว้ละครับ นางจังออที่ขโมยน้ำอมฤตินั่นแหละ นัยว่าถูกเจ้าแม่ตะวันตกสาปให้เป็นกบ ก็เลยทำให้มนุษย์ในเมืองจีนเห็นกบในวงจันทร์ละครับ

พวกไทยใหญ่ ก็เห็นพระจันทร์เป็นรูปกระต่ายเหมือนกันมา แต่ว่ามีเรื่องพิสดารออกไปอีก เขาว่ากระต่ายตัวนี้คลุมตัวด้วยเงินอยู่ในเรือนแก้ว ซึ่งมีหน้าต่าง ๑๕ บาน กระต่ายตัวนี้เก่งครับ มันจะเปิดหน้าต่างวันละบาน ซึ่งทำให้พระจันทร์ส่องแสงอย่างวันขึ้น ๑ ค่ำละครับ และจะเปิดวันละบานจนครบ ๑๕ บาน ก็ตรงกับวันเพ็ญละ จากนั้นกระต่ายก็ปิดวันละบานอีกแหละ ทีนี้ก็เป็นข้างแรมละ

ส่วนฝรั่งบางพวก เห็นพระจันทร์เป็นรูปเด็กสองคนถือถังน้ำอยู่ เหตุที่เห็นเช่นนี้ก็ต้องมีนายประกอบจนได้ซิน่า คือเล่ากันว่าคืนหนึ่งมนิ (Mani) ผู้เป็นสารถีของพระจันทร์กำลังขับรถอยู่นั้น ได้เห็นเด็กสองคนบนโลก เด็กสองคนนี้มีนามว่า ฮิวกิ และ ฟิลล์ กำลังถูกพ่อแม่บังคับให้ตักน้ำ โถ น่าสงสารนะ สารถีพระจันทร์จึงทรงรถเอาเด็กสองคนนั้นไปอยู่ในดวงจันทร์ซะเลย เรื่องจึงทำให้ฝรั่งเขาเห็นเด็กสองคนนั่นถือถังน้ำอยู่ในดวงจันทร์ เด็กนั่นคงเมื่อยแย่ ไม่รู้จักวางถังน้ำหรือโยนถังน้ำทิ้งเลยนิ

ครับ ผมเล่าเรื่องพระจันทร์แขก ไงแตกกอไปถึงอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ ผมเป็นเป็นนิยายสนุกนี่นา ก็คนเราก็ขึ้นไปบนดวงจันทร์กันแล้ว ตำนานเหล่านี้กำลังจะสูญผมก็เลยบันทึกไว้ใน ต่วย’ตูน ไงล่ะ ต่วย’ตูฯ นี้ยั่งยืนนะครับ อีก ๑๐๐ ปีฉลอง ๓๐๐ ปีกรุงเทพฯ ก็ยังอยู่ได้ เมื่อถึงร้อยปีข้างหน้าคนเราก็ไปสร้างบ้านสร้างเรือนบนพระจันทร์กันแล้ว ก็จะได้ซื้อ ต่วย’ตูนไปอ่านเพื่อรู้ประวัติศาสตร์เก๋ากึ๊กของโลกพระจันทร์ไงล่ะ เรียกว่าชาวโลกพระจันทร์ก็ยังเป็นแฟนต่วย’ตูนก็ยังไหว

ผมต้องหันกลับมาเทวดานุกรมแขกอีกนิดครับ จะได้จบเรื่องเสียที ตามคัมภีร์ปุราณะ พระจันทร์ทรงรถมีล้อ ๓ ล้อ เทียมด้วยม้าสีขาวดังดอกมะลิ ๑๐ ม้าด้วยกัน พระจันทร์เป็นบุรุษงามผิวขาว มีรัศมีกายสีขาว ร่างของท่านสะโอดสะอง ทรงอาภรณ์แก้วประพาสอย่างกษัตริย์ อ้อบางเกร็ดหรือบางตำนานว่ากันว่าพระจันทร์เป็นเทพเจ้ารักษาโลกประจำทิศที่เรียกว่าโลกบาล (ดังที่เล่าไปแล้ว) พระจันทร์นั้นรักษาทิศอีสานครับ นามของโลกบาลที่รักษาทิศนี้นั้นมีชื่อว่า พระโสม พระอีสาน ซึ่งก็หมายถึงพระจันทร์นี่แหละ

ตอนต้นผมขึ้นต้นด้วยคำกวี ตอนจบก็ต้องลงด้วยคำคมอีกแหละ กล่าวกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระจันทร์กับบรรดากวีนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่กระชับแน่น จะแยกจากกันเสียมิได้ อุปมาดังผ้าสไบย่อมพันอยู่บนทรวงอกของสตรีเพศฉะนั้น (ฮั่นนั่นแน่ คมซะด้วย) ด้วยเหตุนี้ท่านเชคสเปียร์จึงได้แสดงวาทะว่า

“กวี ๑ เปรมี (ผู้ที่ตกอยู่ห้วงรัก) ๑ และจันทรปิติสิตา (ผู้ที่ถูกบีบคั้นด้วยแสงจันทร์) ๑ จิตใจและสมองของชนเหล่านี้ย่อมเต็มไปด้วยความเพ้อฝันและมีมโนถวิลนานัปการ”
กวีอินเดีย ชื่อโลจัน ได้แสดงวาทะอีกว่า
อคฺร จนฺม มร ยาตา กรเต เยธมฺ กวิ
“ถ้าพระจันทร์มาตายลง พวกกวีทั้งหมดจะทำอย่างไรกันหว่า”       

ที่มา:รองศาสตราจารย์ประจักษ์  ประภาพิทยากร
:: 
https://www.silpathai.net/พระจันทร์ 






#คุณยายกลิ่นโสม 102100
#อ่านดวงไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#ดวงดาวบอกวิถี #รู้ดาวอ่านดวง #ดวงคือแผนที่ชีวิต
#เรียนดวงไทยฟรีที่เวปฯบ้านคุณยายกลิ่นโสม #บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเองที่เวปบ้านคุณยาย #www.baankhunyai.com102100

Visitors: 171,062