ตำนานของพระอาทิตย์(๑)

   

       ตำนานของพระอาทิตย์ (๑)

     เรื่องพระอาทิตย์ ก็ต้องเริ่มด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อีกละครับ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ อยู่ห่างจากโลกประมาณ ๙๒,๘๗๐,๐๐๐ ไมล์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๖๕,๓๗๐ ไมล์ ยาวกว่าโลก ๑๐๙ เท่า มีมวล ๓๓๓,๔๓๔ เท่าของโลก ความดึงดูดบนผิวดวงอาทิตย์มีประมาณ ๒๘ เท่าของความดึงดูดบนผิวโลก สมมุติว่ามีมนุษย์วิเศษสามารถไปยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ได้อย่างเบาะๆ ก็คงจะมีน้ำหนักตัวราว ๒ ตัน ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มก้อนก๊าซทรงกลมมหึมานัก ลุกไหม้ด้วยปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ และดวงอาทิตย์ส่งความร้อน แสงสว่าง และกำลังอื่นๆ รวมเข้าแล้วประมาณวันละ ๓๖๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ตัน แต่ว่าโลกได้รับประมาณ ๑ ส่วนใน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ส่วนใน ๑,๙๘๐,๐๐๐,๐๐๐ ส่วนนั้น ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง แต่เคลื่อนที่ไม่เหมือนกัน แถวเส้นศูนย์สูตรหมุนเร็วมาก เฉลี่ยเท่ากับ ๒๔.๖๕ วัน ที่กึ่งกล่างระหว่างขั้วและเส้นศูนย์สูตรหมุนรอบตัวเองเฉลี่ยเท่ากับ ๒๗.๕๐ วัน และที่ขั้วหมุนรอบตัวเองราว ๓๔ วัน

     ในเรื่องวิทยาศาสตร์ ดวงอาทิตย์เป็นเรื่องใหญ่มากครับ และมนุษย์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ทุกชาติทุกภาษาก็เห็นคุณของพระอาทิตย์ จนนับถือเป็นเทพมานานนักหนาแล้ว นับตั้งแต่ยุคทองแดงโน่น นักโบราณคดีค้นพบวัตถุที่แสดงถึงดวงอาทิตย์มากมาย

ทีนี้ก็มาว่ากันตามลัทธิพราหมณ์ละครับ ว่าถึงตำนานนพเคราะห์ทางโหราศาสตร์ว่า พระอิศวรได้สร้างพระอาทิตย์ขึ้นด้วยการเอาราชสีห์ ๖ ตัวมาป่นแล้วห่อด้วยผ้าสีแดงพรมด้วยน้ำอมฤต ก็เกิดเป็นพระอาทิตย์ขึ้น มีสีกายแดง วิมานก็สีแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหะ

     ตามคัมภีร์ไตรเพท กล่าวว่า เดิมทีพระอาทิตย์มี ๗ องค์ ต่างก็เป็นโอรสของพระกัศยปเทพบิดรกับนางอทิติเทพมารดร แต่โอรสของนางอทิตินั้นมี ๘ องค์ แต่นางไม่ค่อยจะชอบหน้าโอรสองค์หนึ่ง คือ มรรตตาณฑะ แต่ต่อมาก็นับรวมเป็นอาทิตย์ด้วย รวมความว่าโอรสนางอทิติมีคำว่าอาทิตย์พ่วงท้ายรวม ๘ องค์ คือ
     ๑. วรุณาทิตย์
     ๒. มิตราทิตย์
     ๓. อริยมนาทิตย์
     ๔. ภคาทิตย์
     ๕. องศาทิตย์
     ๖. อินทราทิตย์
     ๗. ธาตราทิตย์
     ๘. สุริยาทิตย์

      พระสุริยาทิตย์ นี้เดิมก็คือมรรตณฑะที่แม่ไม่ชอบนั่นแหละ ถึงแม้จะได้รับให้มีอาทิตย์พ่วงท้ายก็เถอะแต่แม่ก็ยังไม่รักแฝงอยู่ในหัวใจเหมือนกัน พระสุริยาทิตย์จึงต้องเที่ยวขับรถอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลกอยู่บัดนี้ ที่จริงก็ดีเหมือนกันนะ เพราะถ้าไม่มีพระสุริยาทิตย์ขับรถให้ความสว่างและความร้อนแก่โลก ป่านนี้มนุษย์ตายหมดแล้ว ตำราพราหมณืยังถืออีกว่า พระอาทิตย์เป็นโลกบาลทิศเนรดี (หรดี=ตะวันตกเฉียงใต้) และบางตำนานว่าโลกบาลทิศนี้ชื่อเนรดี (นิรฤติ) ตามชื่อทิศ

      ต่อไปนี้ พระอาทิตย์ที่จะกล่าวถึงก็ต้องหมายถึง พระสุริยาทิตย์ ละครับ พระอาทิตย์มีชายาหลายองค์ครับ เช่น นางสัญญา นางฉายา นางสุวรรณี นางสวาสดิ และนางมหาวิริยา พระอาทิตย์แม้ว่าจะเป็นเทวดา ก็เหมือนมนุษย์ที่ย่อมจะรักเมียไม่เท่ากัน คือรักนางสัญญามากที่สุด นางสัญญานี้เป็นธิดาของพระวิศวกรรม นางมีลูกกับพระอาทิตย์ดังนี้     
     ๑. พระมนูไววัสวัต หรืออีกนัยหนึ่งคือพระสัตยพรต
     ๒. พระยม หรือพระธรรมราช
     ๓. นางยมี หรือยมนา (ลำน้ำ)

     ถึงแม้มีลูกด้วยกันถึงสามคนก็เถอะ แต่นางสัญญาก็ทนความร้อนของพระอาทิตย์ไม่ได้ ที่มีลูกได้ถึง ๓ คนก็แสดงว่าอดทนได้เก่งแล้ว ต่อมาทนไม่ไหวเข้านางสัญญาก็หนีพระอาทิตย์ไป แล้วแปลงเป็นนางม้า มีนามว่า อัศวินี พระอาทิตย์รักนางมากก็ต้องตามหาจนเจอะ และรู้ด้วยว่านางแปลงเป็นนางม้า พระอาทิตย์ก็เลยแปลงเป็นม้าผู้มีนามว่า อัศวราช ได้สมสู่กันดังที่ผมได้เล่าไว้ในเรื่องพระเสาร์และพระอัศวินแล้วละครับไม่ฉายซ้ำอีกละ

     อย่างไรก็ตาม พระอาทิตย์กับนางสัญญาเกิดถ่านไฟเก่าคุขึ้นปรองดองกันได้ เมื่อกลับมาพระวิศวกรรมผู้เป็นพ่อตาพระทิตย์ได้นำพระอาทิตย์มากลึงเพื่อขูดผิวสว่างออกเสีย ๑ ใน ๘ ส่วน ผิวที่กลึงขูดมานั้นพระวิศวกรรมได้เก็บมาสร้างจักรถวายพระนารายณ์ สร้างตรีศูลถวายพระอิศวร สร้างคทาให้ท้าวกุเวร สร้างหอกแต่บางตำนานว่าพระขรรค์ให้พระขันทกุมาร และยังสร้างอาวุธต่างๆ แจกจ่ายให้เทวดาไว้ป้องกันตัวอีกแยะครับ

     นามพระอาทิตย์ก็มีชื่อต่างๆ มาก ดังเช่น

สาวิตฤ=ผู้เลี้ยง
วิวัสวัต=ผู้สว่าง
ภาสกร=ผู้ทำแสงสว่าง
ทินกร=ผู้ทำกลางวัน
อรหบดี=เป็นใหญ่ในกลางวัน
โลกจักษุ=ตาโลก
กรรมสากษี=พยานกรรม
เคราะหราช=เจ้าแห่งดาว
คภัสติมาน=มีแสง
สหัสภิรณ=มีแสงพันหนึ่ง
วิกรรตตนะ=ผู้ถูกตัดแสงสว่างคือถูกขูด


     พระสุริยาทิตย์นี้ตามรูปเขียน เป็นรูปสีแดง เป็นคนร่างเล็ก ขี่รถเทียมม้า ๗ ตัว หรือบางทีก็ว่าตัวเดียวมี ๗ หัว ในไตรภูมิพระร่วงว่าพระอาทิตย์ทรงเกวียนทองเทียมด้วยม้าสินธพ ๑ พันตัว มีรังสีหรือรัศมีรุ่งโรจน์รอบตัว มีสารถีชื่อ อรุณ (อรุณนี้ แปลว่าแดงเรื่อ หมายถึงแสงตะวันแรกขึ้น ในหนังสือปุราณะเป็นโอรสท้าวกัศยปกับนางกัทรุ) มีสี่กร กรหนึ่งห้ามอุปัทวันตราย กรหนึ่งประทานพร อีก ๒ กร ถือดอกบัว เสื้อทรงสีเหลืองอ่อนอาภรณ์แก้วปัทมราช บางครั้งบางหนก็มักประทับบนแท่นดอกบัวมีเมืองชื่อ วิวัสวดี หรือภาสวดี

     ตรงนี้ขอแทรกเรื่องยุ่งๆ หน่อยครับ ในรามายณะว่า พระสุริยาทิตย์ เป็นพ่อของพระยาสุครีพอุปราชนครกิษกินธยา (รามเกียรติ์ไทยว่าขีดขิน เดี๋ยวจะเล่าเรื่องนี้ต่อครับ) ในมหาภารตะว่าพระอาทิตย์เป็นพ่อของท้าวกรรณผู้ครองแคว้นองคราษฎร์ (เบงคอล) เกิดจากนางกุนตี ท้าวกรรณเป็นแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายโกรพ ในหริวัศว่าพระอาทิตย์เป็นพ่อของพระมนูไววัสวัต พระมนูเป็นพ่อของท้าว อิกษวากุ ผู้เป็นบรมชนกแห่งกษัตริย์ สุริยวงศ์ ผู้ครองนครศรีอโยธยา และมิถิลา พระมนูมีธิดาชื่อนางอิลา (คือท้าวอิลราชที่กลายเป็นสตรีดังที่เล่าไว้ในเรื่องพระพุธแล้ว แต่ในรามายณะว่าท้าวอิลราชเป็นบุตรของพระกรรมทมมหาฤาษี) นางอิลานี้ตกเป็นมเหสีพระพุธ เกิดบุตรชื่อ ปุรุรพ ผู้เป็นบรมชนกแห่งกษัตริย์ จันทรวงศ์ เพราะพระพุธเป็นโอรสแห่งพระจันทร์ ตระกูลจันทรวงศ์จึงนับเนื่องเป็นญาติพงศ์กับตระกูลสุริยวงศ์ด้วยประการฉะนี้แล ย่อหน้านี้สับสนหน่อยครับ ถ้ายุ่งนักก็ไม่ต้องสนใจหรอก

     ส่วนมูลเหตุแห่งเจ้ากรรมนายเวร หรือชาติกรรมชาติเวรของพระอาทิตย์ซึ่งไม่กินเส้นกับพระเสาร์ พระราหูและพระอังคาร แต่เป็นมิตรกับพระพฤหัสบดีนั้น ผมก็ได้เล่าในเรื่องเทพองค์นั้นไว้มากพอแล้วละ ไม่ขอวนกลับอีกแล้ว แฮะแฮะ คอยอ่านตอนรวมเล่มนะ

มาถึงเรื่องรามเกียรติ์ไทยเหอะ มีเรื่องสนุกดีออก คือ มีเรื่องว่า ฤาษีโคดมตั้งพิธีกูณฑ์เสกนางกลาลอัจฉาขึ้นแล้วก็ให้เป็นเมียคู่ทุกข์คู่ยาก ต่อมามีลูกหญิงคนหนึ่งชื่อ นางสวาหะ แต่แล้วก็มีพระอินทร์แอบมาตีท้ายครัว จนมีลูกสีกายเขียวเหมือนพ่อ ส่วนพระอาทิตย์ก็เอามั่ง มีกลอนว่า

             “เมื่อนั้น                  พระอาทิตย์ฤทธิ์แรงแสงกล้า
จึงส่องทิพยเนตรลงมา            ก็แจ้งว่าอัจนาเทวี
มีความประติพัทธ์ประหวัดจิต    พระอาทิตย์ชื่นชมเกษมศรี
สมคิดที่จะแบ่งฤทธี                ไปช่วยพระจักรีปราบมาร
ตริแล้วจึงสั่งเทพสารถี            ให้ขับรถมณีไพศาล
ส่องโลกไปทั่วจักรวาล            องค์พระสุริย์ฉานก็ลงมา”

     ในที่สุดนางอัจนาก็มีลูกกับพระอาทิตย์รูปกายสีแดง แต่แปลกแฮะ ฤาษีโคดมมิยักกะสงสัยในเรื่องกรรมพันธุ์บ้างซะเลย กลับรักลูกที่มีสีเขียวสีแดงมากกว่าลูกของตนด้วยซ้ำ วันหนึ่งฤาษีพาลูกทั้งสามไปอาบน้ำ อุ้มลูกตัวแดงตัวเขียวไป ส่วนลูกตัวเองกลับให้เดินไป นางสวาหะซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ก็ย่อมน้อยใจเป็นธรรมดาละครับ และคงรู้ว่าแม่ของตนมีเทวดาแอบมาตีท้ายครัว ก็เลยตัดพ้อว่า ทีลูกของตนให้เดิน ทีลูกคนอื่นอุ้มไป เลนเอาฤาษีสะดุ้ง เลยเสี่ยงทายก่อนปล่อยลงน้ำทั้ง ๓ คนว่า ใครเป็นลูกของตนให้กลับมา ใครเป็นลูกคนอื่นให้เป็นลิงเข้าป่าไป ผลที่สุดลูกตัวเขียวคือพาลีและตัวแดงคือสุครีพก็เป็นลิงไป ร้อนถึงพระอินทร์กับพระอาทิตย์ต้องร่วมมือกันสร้างเมืองขีดขินให้สองลิงนั้นครอบครอง พาลีเป็นพญากากาศเป็นเจ้าเมือง สุครีพเป็นอุปราช ส่วนฤาษีโคดมกลับไปอาศรมก็สาปนางอัจนาให้เป็นหิน นางอัจนาก็สาปนางสวาหะให้ยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่เชิงเขาจักรวาล ต่อเมื่อมีลูกจะพ้นคำสาป ต่อมาพระพายได้นำเทพศัสตราวุธคือคทาเพชร ตรีเพชร จักรแก้วของพระอิศวรไปซัดเข้าในปากนางสวาหะเป็นผลให้นางมีลูกชื่อหนุมาน นั่นแหละครับ

     เล่าเรื่องพระอาทิตย์ของพราหมณ์แล้วเห็นว่าหน้ายังเหลือก็เลยฝอยเรื่องพระอาทิตย์ฝรั่งมั่ง เลือกเอาบางตอนเท่านั้น พอให้ได้รสเค็มๆ มันๆ พอหน้ากระดาษเท่านั้นละครับ


     อันว่าพระอาทิตย์ของกรีกมีชื่อว่า อาโปลโล (Apollo) หรือ พีบัส (Phoebux) เป็นลูกของซุส (Zeus) ดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นเทพเจ้ายิ่งใหญ่ของกรีก กับนางลาโตนา (Latona) ซึ่งนางเป็นชายาน้อยถูกชายาหลวงคือฮีรา (Hera) หึง ลาโตนาต้องหนีไปคลอดบุตรที่เกาะเดโลส เป็นลูกฝาแฝดชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคือพระอาทิตย์ หญิงคือพระจันทร์ (Artemis) พระอาทิตย์ฝรั่งถือว่าเป็นเทพที่สง่างามนัก มีหน้าที่ขับรถให้แสงสว่างแก่โลก ความร้อนและแสงสว่างออกจากตัวรถไม่ใช่ออกจากตัวพระอาทิตย์อย่างของพราหมณ์ การขับรถนี้ มีเทพบุตรมีนามว่า โฮรา (Hora) เหาะลอยอยู่บนหลังม้าคอยบอกหนทาง นามเทพบุตร Hora กลายมาเป็นคำสามัญว่า Hour ในภาษาอังกฤษ และ Heur ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าชั่วโมง การขับรถของพระอาทิตย์ให้ความสว่างแก่โลกนี้ บางครั้งก็ต้องต่อสู้กับศัตรูเหมือนกัน พระอาทิตย์ก็ยิงลูกศรรอบตัวรถ ซึ่งทำให้เราเห็นดวงอาทิตย์มีแสงเป็นวงออกรอบตัว ซึ่งเราเรียกว่าพระอาทิตย์ทรงกลด โดยที่พระอาทิตย์จัดว่าหล่อเหลาเอาการ จึงมีผู้หญิงชาวโลกหลงใหล มีคนหนึ่ง ชื่อ ไคลตี (Clytie) ใฝ่ฝันเสน่หาพระอาทิตย์นักแต่พระอาทิตย์ไม่เล่นด้วย นางก็เลยตายกลายเป็นดอกทานตะวัน

     แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ พระอาทิตย์ก็มีลูกกับมนุษย์จนได้ ลูกคนนี้ชื่อพีโธน (Phaethon) หมอนี่ชอบอวดใครๆ ว่าเป็นลูกพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ กลับกลับล้อว่าลูกไม่มีพ่อ วันหนึ่งพีโธนก็ขอรถของพ่อไปขับเพื่อจะอวดชาวโลกว่าเป็นลูกพระอาทิตย์จริง ทีนี้เพื่อนขับรถเสียเตี้ยจนทำให้ชาวโลกร้อนกันไปทั่ว พากันร้องระงม จนในที่สุด ซุสก็เอาสายฟ้าสังหารพีโธน และปล่อยให้ฝนตก ก็อย่างที่เราเห็นละครับก่อนฝนตกอากาศจะร้อนอบอ้าว แล้วก็เกิดฟ้าคะนอง ซึ่งก็คือซุสปล่อยสายฟ้า แล้วฝนก็ตกนั่นแหละ เข้ากับธรรมชาติเปี๊ยบเลย คำพีโธนก็เลยเป็นคำสามัญคือ Pheton แปลว่ารถเทียมม้า ๔ ล้อ

     และเมื่อเรื่องพระอาทิตย์หลงรักเทพอัปสรหยาดน้ำค้างชื่อดาฟนี (Daphne) พระอาทิตย์จะวิงวอนขอความรักอย่างไร เธอก็ไม่เล่นด้วย ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ปล้ำ แต่เธอก็หายไป พระอาทิตย์ก็ได้แต่กอดต้นไม้เล่น เรื่องของเรื่องก็เป็นการผูกนิยายให้เข้าธรรมชาติอีกนั่นแหละ ตอนเช้าๆ มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบไม้ แลดูงดงามนักจึงยกให้เป็นเทพอัปสร และน้ำค้างนั้นดูเหมือนมีพระพาทิตย์มาลูบไล้ แต่นางก็ไม่เล่นด้วยหรอก พอสายหน่อยพระอาทิตย์แสงแรงกล้าก็ดูคล้ายว่าพระอาทิตย์ปล้ำน้ำค้าง แต่น้ำค้างหายไป ก็เพราะสายแล้วนั่นเอง พระอาทิตย์จึงเหมือนจะกอดผิดกลายเป็นกอดต้นไม้ไปนี่แสดงว่าผูกนิยายให้เข้ากับธรรมชาติได้ดีแท้นัก  ผมจะฝอยอีกเกรงจะยืดยาวไปครับ ขอจบเรื่องพระอาทิตย์แต่เพียงนี้เหอะ


ที่มา:รองศาสตราจารย์ประจักษ์  ประภาพิทยากร  
::  https://www.silpathai.net/พระอาทิตย์ 






#คุณยายกลิ่นโสม
#อ่านดวงไทยสไตล์คุณยายกลิ่นฯ
#เรียนดวงไทยฟรีที่เวปฯบ้านคุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเองที่เวปฯ #www.baankhunyai.com

Visitors: 171,218