ราหู ธันวา ๒๕๐๘

                                ราหู โดยอาจารย์ประทีป อัครา

                              
                      
                      ราหู โดยอาจารย์ประทีป อัครา 

Twinkle, twinkle, little star                     ระยิบระยับ วับวาว ดาวน้อย
How I wonder what you are                          ล่องลอย เวหา น่าฉงน
Up above the world so high,                          สูงล้ำ อร่ามเรือง อยู่เบื้องบน 
Like a diamond in the sky                              ดุจมณี ค่าล้น บนอัมพร 

         กลอนบทนั้นปรากฎอยู่ในหนังสือดาราศาสตร์ของฝรั่งเล่มหนึ่ง การที่นำเอามาแปลแบบถูไถพอให้ได้ใจความสู่กันฟังนี้  จะด้วยการเป็นผู้มีอารมณ์ของความเป็นกวีเข้มข้นนั้นหามิได้ แต่โดยที่เป็นนักนิยมดาวไปพบข้อความเกี่ยวกับเดือนๆ ดาวๆ เข้า ก็อดที่จะเกิดรู้สึกถูกอกถูกใจไม่ได้ เหมือนหนุ่มๆมองสาวที่ตัวรักตัวหลง ใครจะสวยไม่สวยก็ช่างใจมันอดลำเอียงไม่ได้ว่า สาวเจ้านี้ยื่งิศก็ยิ่งเห้นว่างาม

        และด้วยความที่ใจลำเอียงนี่แหละที่ทำให้ผมเห็นว่ากลอนบทที่นำมานี้ มันช่างไพเราะเพราะพริ้งเสียนี่กระไร และก็คิดต่อไปว่า เพื่อนนักนิยมดาวคนอื่นๆ ก็คงจะมีความรุ้สึกไม่ต่างไปจากผมมากนัก จึงได้คัดลอกแล้วแปลมาสู่กันฟัง 

      ถูกแล้วครับ บทห้วงเวหาเวิ้งว้าง อันมีดวงดราราระยิยระยับพร่างพราวอยู่เป็นจำนวนอันประมาณมิได้นั้น ได้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดความฉงนฉงายนับด้วยพันๆปี มาแล้วอย่างไรเดี่ยวนี้ก็ยังคงฉงนฉงายกันอยู่ และยังคงฉงนฉงายกันอีกต่อไปนานเท่านานตาบที่ดวงดาวยังคงพราวพร่างอยู่อย่างนี้

     พูดกันเฉพาะในวงการของโหราศาสตร์ ซึ่งอาศัยดวงดาวเป็นพื้นฐานอันสำคัญ ความฉงนฉงานในเรื่องของดวงดาวก็มีอยู่เป็นอันมาก  แต่ก็ยังนับว่าน้อยกว่าความฉงนฉงายที่มีต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามามีบทบาทร่วมกับดวงดาว ก็คือ "ราหู"


                       

          โดยที่เกือบจะกล่าวได้ว่าวิชาโหราศาสตร์นี้ เป็นวิชาประเภทอจินไตยกลายๆ ที่มาส่วนมากก็ได้จากการสันนิษฐษนมากกว่าจากหลักฐาน ในพระคัมภีร์เก่าๆ จึงคำว่า " สิทธิการิยะ" อยู่มากมาย ซึ่งไม่เฉพาะแต่ในทางฝ่ายไทย แม้ในทางภารตะโหราหรือแม้ทางพวกฝรั่งก็มี ราหู 

         หลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์อยู่ไม่น้อย ที่จัดเป็นประเภท " dogmatio" ไม่ต่างกับ " สิทธิการิยะ " ของไทยเราเท่าใดนัก พอจะสรุปได้ว่า วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่คลุกคละปะปนหลักวิชาและเทพนิยายเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้บางครั้งก็พิศูจน์ได้บางครั้งก็ไม่ได้ ความขัดแย้งในข้อสันนิษฐานและทัศนะของผู้ศึกษา และค้นคว้าจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เรื่องของทัศนะนี้อย่าว่าแต่วิชาอันเก่าแก่มีอายุยืนนานที่ไม่มีหลักฐานที่ไม่มีหลักฐานทีมาอันอน่นอนเช่นโหราศาสตร์นี้เลย แม้แต่สิ่งซึ่งเห็นกันอยู่ชัดๆ ในยุคเราสมัยเราก็ยังไม่มีทางที่คนเราจะมีทัศนะตรงกันได้อยู่แล้ว 

         ท่านคิดว่าคนเรามีทัศนะในความรู้สึกเมื่อเห็นหญิงสาววัยรุ่นในเครื่องแต่งกายอันสวยงามเฉิดฉายอย่างไรครับ?

        นักวิปัสนากัมมัฎฐาน จะมองด้วยการปลงสังเวชว่า สังขารเ็นของไม่เที่ยงหนอ ในไม่ไม่ช้าเนื้อมังสาอันสวยงามนี้ก็จะเสื่อมไปสลายผุกร่อนไป และในที่สุดก็จะเหลือแต่โครงกระดูกทับถมจมดินสิ้นสลายไป พร้อมกันนั้นก็จะสำรวมใจบริกรรมว่า ยุบหนอ พองหนอๆๆๆ 

        ในด้านที่คิดว่าตัวเป็นลูกผู้ชายใจยังสู้ชูสองนิ้วอยู่เรื่อย ไม่ว่าหนุ่มว่าแก่ก็จะสำรวมจิตบริกรรมว่า อวบหนอ อัดหนอๆๆ แล้วก็พยายามปลงสังขารให้อาภรณือันสวยงามที่ประดับร่างนั้นมันผุไปกร่อนไป ลุ่ยไปหลุดไป ให้คงเหลือแต่สังขารอันเที่ยงแท้ชวนแลตลึงของสาวเจ้าแบบเดียวกับที่ท่านว่า

    สองคน ยลตามช่อง
คนหนึ่งมอง เห็นโคลนตม
คนหนึ่ง ตาแหลมคม
มองเห็นดาว อยู่พราวพราย

           ถ้าจะถือเอาสิ่งแปลกปลอมในจักรวาฬของดวงดาวคือราหูเป็นนักแสดง ในวงการของโหราศาสตร์แล้วไซร้ ราหูก็นับว่าเป็นนักแสดงที่มีศักดิ์ศรีเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับตุ๊กตาทอง ในฐานะเป็นผู้ที่สามารถเรียกร้องความสนใจอันฉงนฉงายของแฟน ได้มากกว่าตัวแสดงอื่นๆ แฟนทั้งหลายมองดูราหูเสมือนเป็นตัวปริศนาอักษรไขว้อันมหึมา 
ราหูเป็นโลก?
ราหูเป็นเงาของโลก?
ราหูเป็นยักษ์?
ราหูเป็นผี?
ราหูเป็นหัวมังกร?
ราหูเป็นจุดสกัด?

         ว่ากันไปแล้วราหูเป็นทุกอย่างที่กล่าวมา เพียงแต่ความหมายจะเปลี่ยนไปตามกรรมและวาระของเหตุการณ์เท่านั้น

         ตามตำนานและตามความรู้ของชาวบ้าน ราหูเป็นยักษ์มีร่างกายเหลืออยู่เพียงท่อนบนท่อนเดียว เพราะท่อนล่างถูกจักร์พระอินทร์ขาดไป โทาฐานที่แอบขโมยดื่มน้ำอมฤตในบ่อที่ตัว ปฎิเสธการให้ความร่วมมือช่วยเหลือในตอนสร้าง แม้ราหูจะไม่ตายด้วยอานุภาพของน้ำอมฤตที่ตัวขโมยดื่มช่วยไว้ แต่ด้วยเดชอำนาจจักร์ของพระอินทร์ก็ทำให้ราหูกลายเป็นคนพิการแต่นั้นมา

        ราหูเป็นผู้ที่มัวเมาด้วยโมหะ เป็นผู้ที่ไม่มีความสำนึกตัว นอกจากไม่เจียมตัวว่าเป็นคนพิการแล้ว แถมยังเป็นคนมีนิสัยอาฆาตมาดร้ายแบบอันธพาลอีกด้วย เมื่อโคจรผ่านอาทิตย์ผ่านจันทร์ครั้งไรก็พยายามจะจับกินเสียทุกครั้ง

       ในด้านนักปรา๙ย์ฝ่ายโหราศาสตร์ คัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่า "ราหูถูกสร้างขึ้นด้วยหัวผีขโมด ๑๒ หัว มีสีกายทองสัมฤทธิ์ วิมานสีนิล ทรงครุฑเป็นพาหนะ" 

        อีกทางหนึ่งกล่าวถึงกำเนิดพระราหูว่า ราหูเป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสามคนด้วยกัน เมื่อถึงคราวทำบุญ พี่ใหญ่ได้ขันทองเป็นภาชนะสำหรับใส่ข้าวใส่บาตร คนที่สองได้ขันเงิน คนน้องสุดท้องคือราหูสิ่งใดจะใส่ข้าวใส่บาตรมิได้ ก็มีความโกรธเคืองพี่ทั้งสองที่แย่งขันทองขันเงินไปเสียก่อน จึงเอากระทายมาเป็นภาชนะใส่ข้าวใส่บาตร

        เมื่อต่างดับขันธืไปแล้ว พี่คนโตก็ไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ คนกลางเป็นพระจันทร์ส่วนคนสุดท้องไปเกิดเป็นพระราหู ด้วยความริษยาอาฆาตซึ่งติดมาแต่ซาติปางก่อน ในขณะที่พระอาทิตย์หรือพระจันทร์กำลังทอแสงอยู่ ถ้าพระราหูผ่านมาเห็นเข้าก็จะเอาความที่เกิดมามีร่างกายใหญ่กว่าเพราะใช้กะทายเป็นภาชนะใส่ข้าวใส่บาตรเมื่อซาติก่อน เข้าบดแสงของพระอาทิตย์พระจันทร์เสีย

        เรื่องราวอันเกี่ยวกับพระราหู ในส่วนที่ปรากฎอยู่ในวิชาโหราสาสตร์นั้นมีอยู่เป็นอันมากแต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะกล่าวถึงราหูในด้านอิทธิฤทธิมากกว่าบุญฤทธิ กล่าวถึงการทำลายมากกว่าการสร้าง

        นอกจากจะถูกเปรียบเทียบให้เป็นยักษ์ เป็นผี เป็นอสุรกายที่สพรึงกลัวแล้วราหูยังได้รับการเปรียบเทียบในด้านที่เป็นเจ้าหนี้ที่สุดแสนจะหน้าเลือดอีกด้วย ซึ่งปรากฎในนิทานซาติเวรว่าพระราหูทวงหนี้พระจันทร์ พระจันทร์ยังไม่มีจะใช้ราหูก็ตามทวงจนกระทั่งพระจันทรืทนไม่ไหวต้องหนีหลบหน้าหลบตาออกหัวบ้านหัวเมืองไป เมื่อราหูตามพบเห็นท่าไม่ได้เงินก็จู่โจมเข้าฉุดกระชากจะลากเอาตัวไปแทน 

       อิทธิฤทธิอิทธิพลของพระราหูจะมีอยู่เป็นอันมาก เมื่อพระราหูโคจรใก้ลลัคน์ใก้ลจันทร์ในดวงชะตาเข้ามาจึงเป็นที่หวั่นเกรงแก่นักนิยมดาวในทางโหราศาสตร์เป็นยิ่งนัก

       ในกฎเกณพ์ที่ท่านให้ชื่อว่า "พฤกษชะตา"  ท่านเปรียบลัคน์และดาวอื่นเหมือนต้นไม้ และเปรียบราหู "เป็นด้วงมอด กัดไม่กรอด เบียดบีฑา" คือเข้าที่ไหนทำลายที่นั่น เมื่อเป็นเช่นนี้ตำรับตำราและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับกับพระราหู ในด้านที่เป็นที่เป็นคุณจึงมีอยู่น้อยเต็มที่ 
"ราหูมาต้องลัคน์ แม้สูงศักดิ์สุราลัย
จะจากยศไกร เดือดร้อนใจไฟเผาผลาญ"
นี่ก็เป็นความร้ายกาจ ส่วนหนึ่งของพระราหูเมื่อจรมาต้องลัคน์เข้า
อสุรินทร์ราหู                    จรจักรากร 
กุมเล็งระวีวร                             จะประทุษฐลาภา
ศัตรูจะเมียงมาตร์               จะวิวาวาทา
จากบุตร์ภรรยา                          จะตะโกรงทะโทงกาย
ราหูปะทะจันทร์                 อริอันจะมองหมาย
ยอลาภพลีหลาย                        ก็สมัครสมาการ

        เมื่อราหูโคจร เข้าทับและพระจันทร์นั้น ความรุนแรงดูทีจะแตกต่างในด้านยิ่งและหย่อนกว่ากันเป็นอันมาก ในบทที่พระราหูทับพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเพศชาย ความรุนแรงเข้าขั้นเอาเป็นเอาตายทีเดียว แต่ในบทที่โคจรมาทับพระจัทร์ซึ่งเป็นเพศหญิง กลับมีทีท่าที่จะออมชอมกันได้ด้วยดี

        ราหูในทางดราศาสตร์ มีชื่อเรียกว่า Node ซึ่งหมายถึงจุดสกัด โดยนัยนี้ราหูจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ การที่จะพูดกันถึง Node หรือราหูทางดาราศาสตร์ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์และทฤษฎีนั้นดูออกเป็นการยุ่งยากเกิน กว่าความจำเป็นสำหรับนักนิยมดาวซึ่งต้องการเพียงจะรู็จักราหูในด้านที่แสดงคุณและโทษ แก่ดวงชะตา ผมจึงใคร่จะเสนอหลักเกณฑ์ง่ายๆ สำหรับการเข้าใจเรื่องของราหูต่อท่าน ซึ่งท่านจะถือเอาเป็นเรื่องของการอุปมาอุปมัย หรือเรื่องสมมุติแบบฟังกันเล่นสนุกก็แล้วแต่อัธยาศัย 

        ย่อมเป็นที่เข้ใจกันดีโดยทั่วไปแล้วว่า การโคจรของโลกนั้น มีการหมุนซ้อนกันอยู่ ๒ อย่าง คือ 
           ๑.หมุนโดยใช้แกนของตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Rotation) ซึ่งเรียกกันว่า โลกหมุนรอบตัวเอง
           ๒.หมุนโดยใช้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง(Revolution) ซี่งเรียกกันว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ 
และเมื่อจะต้องพูดเรื่องโลกเกี่ยวพันไปถึงราหู ก็เห็นจะเว้นเสียมิได้ที่จะต้องกล่าวถึงวงหมุนอีกวงหนึ่งซึ่งหมุนอยู่รอบโลกคือ จันทร์

         การหมุน ๒ อย่างที่กล่าวมานี้ทำให้เกิดวงกลมขึ้น ๒ วงซ้อนกัน โดยที่วงกมทั้ง ๒ วงนั้นมีระนาบ(Plane) ต่างกัน ทำให้เส้นรอบวง ๒ วงนั้นตัดกัน ๒แห่งตรงข้ามกัน ทางวิชาดาราศาสตร์ เรียกจุดตัดกันของเส้นรอบวงนั้นว่า Node หรือจุดสกัดที่ทำให้เกิดคราส เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากหลักเกณฑ์ ของวิชาดาราศาสตร์อันยุ่งยากและซับซ้อน ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ค่อยจะกระดิกหู

         จึงสมมุตอิโดยการลากเส้นตรงจากจุดสกัดหนึ่งไปยังอีกจุดสกัดหนึ่งว่านั้น แล้วสมมุติ้ส้นนั้นเป็นเส้นราหู โดยที่เส้นราหูนั้นพาดผ่านจุดศูนย์กลางของโลหพอดี 

                           
 
         ขอให้เราแบ่งภาพประกอบนั้นเป็น ๓  ส่วน คือ 
          ๑. วงใน เป็นส่วนเคลื่อไหวของโลกที่หมุนรอบตัวเอง ในอัตราความเร้วจ่อ ๑ รอบซึ่งเท่ากับ ๑ วัน
          ๒.วงนอกเป็นเคลื่อไหวของโลกที่หมุน หรือ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในอัตราความเร้ว ๖๐ ลิปดาต่อ ๑ วัน 
          ๓.เส้นตรง ซึ่งสมมุติให้เป็นเส้ราหูวิ่งผ่าานจุดศุนย์กลางของโลก โดยมีการเคลื่อนตัวไปในอัตราความเร้ววันละ ๓ ลิปดา โดยประมาณ 
เส้นตรงเส้นนี้ ถ้าปลายด้านหนึ่งเป็นราหู( Dragon’s head ) ปลายอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นเกตุ (Dragon’s tail ) ซึ่งใช้อยู่ในระบบของภารตะโหรา เป็นคนละเกตุกับของไทยเรา

          การที่จะช่วยให้เข้าใจง่ายในเบื้องต้นนี้ ผมจำต้องใช้อาทิตย์แต่เพียงดวงเดียวก่อนสำหรับประกอบการอธิบาย มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความสับสนไขว้เขวขึ้นถ้าจะพูดเลยไปถึงดาวพระเคราะห์อื่นซึ่งต่างดวงต่างก็โคจรไป ด้วยอัตราความเร้วแตกต่างมิได้อยู่คงที่

         ขอสมมุติต่อไปว่า เราเอาภาพนี้วางทาบลงไปบนแผ่นจักรวาฬ โดยที่สมมุติให้ราศีในภาพนั้นมีชื่อครบถ้วนเช่นเดียวกับรูปดวง โดยมีพระอาทิตย์สถิตอยู่ ณ.ที่ใดที่หนึ่งตามสะดวก

         ๑.สมมุติให้วงในหมุนไปหนึ่งรอบ ในเวลา ๒๔ ชั่วโมง โดยตั้งต้นกันที่เวลา ๐๖.๐๐น.ซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก ครันแล้วสมมุติให้วงในนั้นหมุนไปครึ่งรอบ หรือ ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลา ๑๘.๐๐ น. จะเกิดปรากฎการณ์อีกอย่างหนึ่งขึ้นคือ 
พระอาทิตย์เปลี่ยนไปอยู่ทางด้านตรงข้าม คือกำลังจะลับไปทางขอบฟ้าด้านตะวันตกและ เมื่อเราสมมุติให้วงในนั้นหมุนไปอีกครึ่งรอบคืออีก ๑๒ ชั่วโมง ก็จะเป็นปรากฎการณ์เดิมซึ่งวนมาบรรจุเก่าอีก คือ ๖.๐๐ น. ซึ่งดวงอาทิตย์กำลังอุทัยขึ้นที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก

         ๒.สมมุติต่อไปว่าวงนอก ซึ่งเป็นอีกชั้นหนึ่งของโลก พร้อมด้วยเส้นแบ่งราศีหมุน ไปวันละ ๖๐ ลอิปดาโดยประมาณ ในปฎิทินโหรจึงแสดงไว้ว่า พระอาทิตย์โคจรไปวันละ ๑ องศา โดยถือเอาการมองดูจากโลก
ข้อสมมุติ ๒ ข้อนี้เป็นผลพลอยได้สำหรับตอบคำถามของคนที่คนที่เคยตั้งปัญหาถามว่าเมื่อโลกกลมย่อมเท่ากับ ๓๖๐ องศาเรามองเห็นพระอาทิตย์โคจรรอบโลก (ในระบบนิรายนะที่ถือว่าโลกเป็นจุดศุนย์กลาง)ทุกวัน น่าจะถือว่าพระอาทิตย์โคจรวันละ ๓๖๐ องศา ทำไมปฎิทินและตำราจึงบอกว่าพระอาทิตย์โคจรวันละเพียง ๑ องศา
 

          ๓.ยังสมมุติต่อไปอีก ให้ส้นตรวซึ่งเท่ากับราหูนั้นมีลักษราการเหมือนกับใบพัดของกังหันซึ่งหมุนไปบนแกนของรูปโลก ในอัตราความเร็ว ๓ ลิปดาโดยประมาณในวิถีจักร์ที่สวนกัน วิธีการสมมุติเช่นนี้จะช่วยให้ท่านพอจะประมาณได้ หยาบๆว่า เมื่ออาทิตย์กับปลายเส้นด้านหนึ่งของเส้นตรงนี้ทับกันแล้ว ต่างก็จะหมุนเคลื่อนไปคนละด้านแยกจากกันไป ในอัตรา ๑ ต่อ ๒๐ และในประมาณ ๑๗๓ วัน ปลายเส้นอีกด้านหนึ่งก็จะหมุนเคลื่อนมาทับอาทิตย์ ปลายเส้นที่ทับอาทิตย์เมื่อ ๑๗ภ วันเป็นเข็มวินาทีก่อนจะอยู่ตรงกันข้าม และด้วยอัตราความเร้วอันค่อนข้างจะสม่ำเสมอนี้เอง ในเวลาอีกประมาณ ๑๗๓ วัน สรุปรวมได้ประมาณ ๓๔๖ วัน ปลายเส้นที่เคยทับพระอาทิตย์เมื่อครั้งก่อน ก็จะหมุมาทับซ้ำกันอีก รอบระยะเวลาการทับพระอาทิตย์ซ้ำของปลายเส้นด้านที่เป็นราหู มีชื่อเรียกทางด้านวิชาดราศาสตร์ว่า Nodical year ซึ่งในทางภาระโหราเรียกว่า ราหูวรรษ อันมีความหมายว่าว่า ปีพระราหู 

         สรุปผลจากรูปภาพและคำชั้แจงแล้ว เราจะเปรียบโลก ราศี และราหูรวมกันเป็นหน้าปัทม์นาฬิกาซึ่งมีสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ ๓ อย่างด้วยอัตราความเร้วต่างกันคือ 
โลกซึ่งหมุนรอบตัวเอง เป็นเข็มวินาที
โลกซึ่งหมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นเข็มนาที
เส้นตรงที่สมมุติให้เป็นราหู เป็นเข็มชั่วโมง
ก็คิดว่าพอจะได้ 
 
            และโดยภาพประกอบนั้นเอง เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ และราหูโคจรมาอยู่่ราศีเดียวกันหรืออยู่ราศีเล็งกัน มีองศษเท่ากัน ย่อมหมายถึงว่าอาทิตย์ จันทร์ และโลกได้โคจรมาอยู่ในเส้นตรงอัเดียวกันเข้าแล้ว ซึ่งแน่ละย่อมจะย่อมจะเกิดการบักันขึ้น ปรากฎการณ์ของการบังกันนั้นเรียกว่า "คราส" คือถ้าจันทร์บังพระอาทิตย์ก็เรียกว่า "สุริยคราส" ถ้าดลกบังจันทร์ก็เรียกว่า "จันทรคราส"
 
           อย่างไรก็ตาม ผมใคร่ขอเรียนให้ทราบเพื่อความถูกต้องเสียก่อนเป็นเบื้องต้นก่อนว่า ราหูของไทยนั้นมีอยู่ ๒ ตัวด้วยกัน ตัวหนึ่ง ใช้สำหรับพยากรณ์เหตุการณ์ของมนุษย์ และเหตุการณ์ของพื้นพิภพ ได้แก่ราหูซึ่งมีตำแหน่งอันแสดงไว้ในปฎิทินซึ่งคำนวณด้วยสูตร์พระคัมภีร์สุริยาตร์ ส่วนราหูอีกตัวหนึ่งใช้สำหรับพยากรณ์และเรื่องราวบนท้องฟ้า เช่นพยากรณ์สุริยุปราคา หรือ จันทรุปราคา ราหูตัวนั้นจะคำนวณหาตำแหน่งได้ด้วยสูตรคำนวณจากคัมภีร์สารัมภ์ ราหูทั้ง ๒ ตัวนี้ แม้นว่าจะมีตำแหน่งไม่ผิดแตกต่างหรือห่างไกลกันมากนักก็จริงอยู่แต่ก็ห่ได้ตรงกันทีเดียวไม่

          และด้วยเหตุนี้แหล่ะ ท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้ในปฎิทินคัมภีร์สุริยาตร์จะแสดงว่าราหูมีองศาเท่ากันกับพระอาทิตย์และพระจันทร์พอดี ในราศีเดียวกันหรือเล็งกัน ก็อย่าพึงยืนยันว่าจะต้องมีอุปราคา หรือมีคราส  ท่านให้สอบสวนคำนวณตามเกณฑ์แห่งคัมภีร์สารัมภ์ก่อน ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วว่า ตำแหน่งราหูที่ปรากฎในปฎิทินสุริยยาตร์นั้นท่านกำหนดเกณฑ์คำนณไว้สำหรับการพยากรณ์เรื่องของคนอละเรื่องของโลก  ไม่ใช่เรื่องของท้องฟ้าแเรื่องนอกโลก

         นอกจากราหูเป็นปริศนาอักษรไขว้อันมหึมาแล้ว ผมยังอยากจะคิดเล่นสนุกๆต่อไปว่า ราหูยังเป็นลายแทงขุมมหาสมบัติอันมีค่ามหาศาลในอาณาจักรของโหราศาสตร์อีกด้วย 

         ท่านเคยคิดเฉลียวใจหรือเปล่าครับว่า เพราะเหตุไรบรูพจารย์ท่านจึงผูกเป็นนิทานไว้ว่าราหูมีร่งกายเหลืออยู่เพียงท่อนเดียว เมื่อราหูถูกจักร์นั้นเป็นเวลาหลังจากที่ราหูได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว  ตลอดร่างของราหูจึงน่าจะเป็นทิพย์ ไม่ตาย ไม่เน่า ไม่เปื่อย และไม่สลาย ก็แล้วร่างกายอีกท่อนหนึ่งของราหูไปอยู่ที่ไหน 

         จะเป็นไปได้ไหมว่าตำรับตำราที่เรามีอยู่เป็นแผนที่ลายแทงเพียงครึ่งเดียว ขาดหายไปเสียครึ่งหนึ่ง ทำให้ผลของการพยากรณ์ตกๆ หล่อนๆ พลาดๆ พลั้งๆ ไม่เป็นอันถูกต้องสมบรูณ์ ได้เหมือนกับที่บรูพจารย์ท่านเคยทำกันได้ขนาด ถวายหัว

         ทำไมในส่วนที่เกี่ยวกับพยากรณ์เรื่องราวของมนุษย์และโลก ท่านจึงใช้จุดราหูทางคัมภีร์สุริยาตร์ แทนที่จะใช้ราหูทางคัมภีร์สามรัมภ์ซึ่งตรงกับความเป็นจริงบนท้องฟ้า 

        เมื่อลองทดสอบตำแหน่งของดวงดาวอื่นๆ ที่ได้จากการคำนวณทางคัมภีร์สุริยาตร์กับต่ำแหน่งของดวงดาวจริงๆบนท้องฟ้า ก็ปรากฎว่ามีความเบี่ยงเบนจากจุดความเป็นจริงอยู่บ้างเช่นเดียวกับที่ปรากฎในระหว่างราหูสุริยาตร์และราหูสารัมภ์ จะเป็นไปได้ไหมว่า ราหูเป็นกุญแจ ไขปริศนาลายแทงข้อหนึ่งว่า ดวงดาวที่ได้ตำแหน่งจากการคำนวณด้วยหลักเกณพ์ทางคัมภีร์สุริยาตร์นั้นเป็นเครือเดียวกับราหูสุริยาตร์ สำหรับใช้พยากรณ์เรืองราวของมนุษย์และโลก ส่วนดวงดาวตำแหน่งที่ได้จากทางดาราศาสตร์ ตรงตามความเป็นจริงบนท้องฟ้านั้นเป็นเครือเดียวกับราหูสารัมภ์ สำหรับใช้พยากรณ์ เรื่องราวบนท้องฟ้า 

         ท่านเคยคิดเล่นสนุกๆไหมครับว่า การที่เหตุการณ์เกิดบ้าง เมื่อเกิดบ้างเมื่อดาวโคจรเข้าสัมพันธ์กันถูกต้องตามที่ตำรากล่าวไว้อีกท่อนหนึ่งของราหูที่ขาดหายไป จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่จะไขให้รุ้ถึงสาเหตุแห่งความคลาดเคลื่อนของตำรา จะเป็นได้ไหมว่า ท่อนบนของราหูที่เราเห็นเรามีอยู่นี้จะเป็นตำรายา ส่วนท่อนล่างที่หายไปนั้นเป็นตำราน้ำกระสายยา 

         ท่านเรียกปรากฎการณ์ที่เกิดจาก อาทิตย์ จันทร์ และราหูว่า "คราส" และเรียกปรากฎการณ์ที่เกิดกับมนุษย์จากความสัมพันธ์กันของดวงดาวในชะตาว่า "ฆาต" ซึ่งทั้ง "คราส" และ "ฆาต" นี้ต่างมีกฎเกณฑ์ ฉะเพาะของตน มิได้หมายความว่าเมื่ออาทิตย์ จันทร์ และ ราหู โคจรมารวมอยู่ราศีเดียวกันหรือเล็งกัน จะต้องเกิด "คราส" เสมอไป หรือเมื่อดาวโคจรมาทับกันสัมพันธ์กันจะเกิด"ฆาต" คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเสมอไปไม่ กฎเกณฑ์อันละเอียดซับซ้อนของ "คราส" และ "ฆาต" น่าจะให้คำจำกัดความสั้นๆได้ว่า
อันสูรย์จันทร์ ที่ครรไล ในเวหาส        จะเป็น "คราส" ต่อเมื่อร่วมวิถี
อันดวงชาตผิว์ "ฆาต" เคราะห์จำเพาะมี           เหตุร้ายดีจึงอุบัติเหมือนคราสเอย

         ตามที่ได้เรียนมาแล้วแต่เบื้องต้นว่า ราหูเป็นสิ่งแปลกปลอมอันน่าสพึงกลัว เป็นสิ่งที่ไม่พึงปราถนาอย่างยิ่งของนักนิยมดาวฝ่ายโหราศาสตร์ เห็นจะเป็นเพราะว่าราหูเป็นพวกที่่ถูกจัดไว้ว่ามีอิทธิฤทธิ์อิทธิพลมุทะลุตึงตัง ไม่ค่อยมีความเรียบร้อยนุ่มนวล เทือกนี้นั่นเอง พระอาจารย์เก่าๆ ท่านจึงไม่ค่อยนิยมที่จะยกย่องดวงชะตาที่มีราหูถึงลัคน์ถึงจันทร์ เพราะจะทำให้ชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนมาก ท่านนิยมที่จะให้ราหูไปสถิตในภพที่๖ ที่๘ และที่๑๒ ซึ่งเป็นเรือนอริ มรณะ วินาสเสีย เพื่อว่าชีวิตจะได้ราบรื่น ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ เพราะว่าราหูดิ้นรนหมดฤทธิ์ไปแล้วมาก่อกวนไม่ได้

         มติอันนี้เข้าใจว่าเป็นของอาจารย์ที่ท่านเป็นพระมากกว่าที่ตะเป็นฆราวาส เพราะมติระหว่างพระและฆราวาสในเรื่องการดำรงชีวิตนั้นแตกต่างกันอยู่มาก ทางฝ่ายพระท่านดำรงชีวิตเพื่อการตัด การสละและการหลุดพ้น จุดหมายปลายทางของท่านคือความสงบหมดภาระผูกพัน เพราะฉะนั้นการดำรงอยู่ของพระจึงไม่ประสงค์การดิ้นรนต่อสู้กับใคร นอกจากการสู้กับมารคือกิเลส และจุดหมายปลายทางซึ่ได้แก่การหลุดพ้นนั้น คือความว่างเปล่า ความไม่มีอะไร ราหูซึ่งเป็นตัวพลังแห่งการดิ้นรน ต่อสู้ และสร้างสรร จึงเป็นสิ่งอันไม่พึงปราถนาทางฝ่ายพระ

          ส่วนทางด้วยฆราวาสนั้น การดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่ยังเพื่อเมีย เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่พี่น้องบริวาร ฆราวาสจึงจำเป็นที่จะต้องดิ้นรน ต้องสู้ ทั้งมาร ทั้งมนุษย์และทั้งอะไรๆอีกร้อยแปด ซึ่งพลังงานทั้งหลายเหล่านี้อยู่ที่ราหูทั้งสิ้น ความหมายของราหูที่พูดนี้หมายภึงความหมายในทางโหราศาสตร์ ไม่ใช่ความหมายในทางดาราศาสตร์ 

         การดิ้นรนต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตในแบบฆราวาส เพราะไม่เพียงแต่จะให้ในการสร้างสรรและสะสมเท่านั้น ยังให้ความตื่นเต้น และความภูมิใจซึ่งเป็นอาหารอย่างวิเศษแก่จิตใจอีกด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วไซร้ การเสี่ยงภัยต่างๆ เช่นการแล่นใบเรือด้วยเรือเล็กๆเดินทางรอบโลก การป่ายปีนเขาอันแสนจะทุรกันดารและอันตราย มนุษย์เราจะไปอุตริทำขึ้นเพื่ออะไรกัน 

         ก็เมื่อราหูเป็นพลังงานอีนสำคัญในการดำรงชีวิตถึงป่านฉะนี้แล้ว ท่านคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมาสนใจศึกษาและค้นคว้าเรื่องราหูให้เป็นการถูกต้องถ่องแท้ และถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะตัดอคติที่มีราหู เลิกความประหวั่นพรั่นกลัว ให้ความเป็นธรรม และให้การตอบรับแก่ราหูเช่นเดียวกับดาวอื่นๆ 

         การพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงด้านเดียวย่อมจะได้ย่อมจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ซำ้ร้ายจะทำให้เสียประโยชน์ที่ควรจะได้กลายเป็นโทษแทนที่จะเป็นคุณเสียอีก เช่นเดียวกับขยะ ถ้าเราเพ่งเล็งพิจารณาแต่ความที่ขยะเป็นของปฎิกูลเน่าเหม็น โสโครกสกปรก และเป็นแหล่งเพาะและแพร่เชื้อโรคเพยงด้านเดียว เราก็คงจะขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากปุ๋ยไปเป็นอันมากทีเดียว

         เช่นเดียวกับราหู ถ้าเราพิจารณาราหูจากจุดที่เป็นกลาง เราก็จะมองเห็นคุณสมบัติของราหูแจ่มชัดตามความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งในด้านที่เป็นโทษและด้านที่เป็นคุณ

        ในทัศนะส่วนตัวของผมซึ่งได้จากการติดตามศึกษาเรื่องราวของราหูมา ใคร่ฝากข้อคิดไว้ให้ท่านได้พิจารณา เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ผมกำหนดความหมายของราหูไว้เป็นกลางสั้นๆว่าเครื่องกั้น เครื่องบัง ต่อจากนั้นก็พิจารณาคุณลักษณะของราหูทั้งในดวงเดิม และดวงจรโดยปราศอคติเช่นเดียวกับดวงดาวอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องโยค เกณฑ์และสัมพันธ์ตามกฎแห่งการพิจารณาดวงชะตา

๑.ถ้าหากราหูแสดงโทษ 
ในความหมายว่า"เครื่องกั้น" ราหูจะเป็นอุปสรรค ขวากหนามคู่แข่งขันที่เข้มแข็ง หรือ ผู้กีดกัน ไม่ให้บรรลุถึงความสำเร็จ 

ในความหมายว่า"เครื่องบัง" ราหูจะมีสภาพการเช่นเดียวกับ"คราส"ที่ทำให้แสงสว่างมืดมิดไป ทำให้ชีวิตประสพความมืดมน

๒.ถ้าราหูแสดงคุณ
ในความหมายว่า"เครื่องกั้น" ราหูจะเป็นรั้ว เป็นกำแพง เป็นเกราะ หรือผู้คุ้มครองที่ให้ความปกป้องภยันตรายอันจะเกิดจากศัตรู ผู้ร้ายหรือสิ่งคุกคามที่จะทำให้เกิดความวิบัติแก่ชีวิต ในความหมายว่า"เครื่องบัง" ราหูจะมีสภาพเป็นร่ม เป็นกิ่งไม้ใบหนา หรือเมฆาที่มาให้ความร่มเย็นและบังความร้อนให้

เรื่องราวเกี่ยวกับราหูมีอยู่เป็นอันมาก ยากที่จะกล่าวให้จบสิ้นได ที่ได้มานี้ดูทีจะมากเกินไปจนเบียดเบียนที่ของเรื่องที่ประโยขน์อื่น จึงขอยุติไว้เพียงนี้ สวัสดี

ประทีป อัครา


 
 Smiley  with love SmileySmiley 
141  เรียนดวงกันวันละนิดกับคุณยายกลิ่นโสม :: 141

บ้านคุณยาย.com : https://www.baankhunyai.com
bloghttps://baankhunyai.bloggang
++++++++++++
.

ดูดวง Line  : baankunyai
.
Visitors: 172,364